อาการ แพ้ยา เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยๆ โดยเฉพาะในคนที่มีประวัติ แพ้ยา ชนิดหนึ่งชนิดใดมาก่อน และ คนที่มีประวัติของโรคภูมิแพ้ (เช่น หืด หวัดเรื้อรัง ลมพิษ ผื่นคัน) จะมีโอกาส แพ้ยา มากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นในการใช้ยาจึงควรระมัดระวังในเรื่องนี้มากไม่ควรใช้อย่างพร่ำเพรื่อ หรือใช้เกินความจำเป็น
ยาที่แพ้ ที่พบได้ค่อนข้างบ่อย ได้แก่
1. ยาต้านจุลชีพ หรือปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลิน แอมพิซิลลิน ยาประเภทซัลฟา เตตราซัยคลีน สเตรปโตมัยซิน เป็นต้น
2. ยาแก้ปวด ลดไข้ เช่น แอสไพริน
3. ยาชา เช่น ไซโลเคน (Xylocaine), โปรเคน (Procaine)
4. เซรุ่มต่างๆ เช่น เซรุ่มแก้พิษงู เซรุ่มแก้บาดทะยัก
5. น้ำเกลือ และ เลือด
อาการ แพ้ยา
1. ในรายที่มี อาการแพ้ อ่อนๆ อาจมีเพียงลมพิษ ผื่นคัน หรือมีผื่นแดง จุดแดงหรือตุ่มใสเล็กๆขึ้นทั่วตัว หน้าบวม หนังตาบวม ริมฝีปากบวม มักเกิดจากการกินยาเม็ด เช่น แอสไพริน เพนวี แอมพิซิลลิน ยาประเภทซัลฟา
2. ในรายที่มี อาการแพ้ ขนาดกลาง อาจมีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน หรือ หายใจขัดคล้ายหืด มักเกิดจากการใช้ยาฉีด
3. ในรายที่เป็นรุนแรง จะมีอาการเป็นลม ตัวเย็น ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ และ หยุดหายใจ มักเกิดหลังจากฉีดยาประเภทเพนิซิลลิน หรือ เซรุ่มในทันทีทันใด บางครั้งอาจถึงแก่ความตายแบบที่เรียกว่า "คาเข็ม" ได้เราเรียกอาการ แพ้ยา รุนแรงชนิดนี้ว่า ช็อกจากการแพ้ (Anaphylactic shock)หรือ อาจพบเป็นลักษณะพุพอง หนังเปื่อยลอกทั้งตัวคล้ายถูกไฟลวก ปากเปื่อย ตาอักเสบ ท่อปัสสาวะอักเสบ มีไข้ ซึ่งเรียกว่ากลุ่มอาการสตีเวนจอห์นสัน (Stevens Johnson Syndrome)
4. ใน การแพ้ เลือด หรือน้ำเกลือ มักมีอาการไข้ หนาวสั่นหรือลมพิษขึ้น โดยทั่วไป ยาชนิดฉีดจะทำให้เกิดอาการรุนแรงและรวดเร็วมากกว่าชนิดกิน
การรักษา การแพ้ยา
1. ในรายที่มี อาการแพ้ อ่อนๆ ให้เลิกใช้ ยาที่แพ้ แล้ว ให้ ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน หรือ ไดเฟนไฮดรามีน 1 หลอด ฉีด เข้ากล้าม หรือ ให้อย่างเม็ดกินวันละ 3-4 ครั้ง ๆละ 1/2 -1 เม็ด จนกว่าจะหาย
2. ในรายที่มีอาการขนาดปานกลาง หรือ รุนแรง ให้ฉีดแอดรีนาลีน 0.3-0.5 มล. หรือ สเตอรอยด์ เช่น เดกซาเมทาโซน 1-2 หลอด เข้ากล้ามหรือเข้าเส้นเลือด ทันที ถ้าไม่ดีขึ้นให้ส่งโรงพยาบาลด่วน
3. ในรายที่หยุดหายใจ ให้ทำการผายปอด พร้อมกับฉีดยาแอดรีนาลีน
4. ในรายที่เป็นแบบกลุ่มสตีเวนจอห์นสัน ให้เลิกใช้ ยาที่แพ้ ให้ ยาแก้แพ้ หรือ สเตอรอยด์แล้วส่งโรงพยาบาลทันที เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ กลายเป็นโลหิตเป็นพิษถึงตายได้
การป้องกัน การแพ้ยา
1. ทุกครั้งที่ให้ยา ควรถามประวัติ การแพ้ยา ในอดีตที่ผ่านมา และประวัติโรคภูมิแพ้ของผู้ป่วยและในครอบครัวของผู้ป่วย ถ้ามีประวัติเหล่านี้ ควรระมัดระวังในการใช้ยาให้มาก และควรแนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตดู อาการแพ้ยา ที่อาจเกิดขึ้น ถ้ามีอาการให้รีบหยุดยา แล้วกลับไปหาหมอที่รักษาทันที
2. อย่าฉีดยาอย่างพร่ำเพรื่อ ทุกครั้งที่ฉีดยาโดยเฉพาะยาที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่าย เช่น เพนิซิลลิน หรือ เซรุ่ม ควรทำการทดสอบผิวหนังก่อน และควรมี ยาแก้แพ้ สเตอรอยด์ และแอดรีนาลีน ตลอดจนอุปกรณ์ในการช่วยผายปอดไว้ให้พร้อม
3. ถ้าพบผู้ป่วย แพ้ยา ควรแนะนำให้ผู้ป่วยรู้ว่า แพ้ยา อะไร และห้ามกินยาชนิดนั้นๆ หรือยายี่ห้อต่างๆ ที่เข้ายาชนิดนั้นอีกต่อไป และแนะนำผู้ป่วยว่าทุกครั้งที่หาหมอควรจะบอกหมอว่าเคย แพ้ยาอะไร
4. อาการแพ้ยา มักจะเกิดเมื่อผู้ป่วยเคยได้รับยาชนิดนั้นมาก่อนหลายๆครั้ง ในทารกหรือเด็กอ่อนที่ไม่ได้รับยามาก่อน จึงมีโอกาส แพ้ยา น้อย ส่วนคนที่เคยได้รับยา (โดยเฉพาะยาฉีด) มาก่อนหลายๆครั้ง
โอกาสที่จะ แพ้ยา ชนิดนั้นก็สูงขึ้นตามลำดับ ดังนั้นยิ่งใช้ยาบ่อยครั้งขึ้นเท่าไหร่ ก็พึงระวังการเกิดอาการแพ้ มากขึ้นเท่านั้น
แหล่งข้อมูล
http://province.moph.go.th/rattaphum/DRUG.htm
รูปประกอบ
http://www.roigoo.com/board/index.php?topic=6106.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น