วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปวดหลังอย่างไร ถึงต้องไปผ่าตัด?


มนุษย์เราทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ปวดหลังอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต ปวดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับช่วงอายุ แต่ส่วนใหญ่พออายุมากขึ้นมักจะพบว่าปวดบ่อยและรุนแรงขึ้น ซึ่งอาการปวดของแต่ละคนก็มีที่มาแตกต่างกัน

นายแพทย์พรภวิษญ์ ศรีภิรมย์ ศัลยแพทย์กระดูกสันหลัง กล่าวว่าอาการปวดหลังมีสาเหตุมาจากหลายกรณี ดังนี้

- ปวดหลังเล็กน้อยจากกล้ามเนื้อ อาการนี้เป็นได้ทั่วไป มาจากการยกของหนัก นั่งผิดท่า เป็นต้น
- ปวดหลังจากหมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือหมอนรองกระดูกแตก
- ปวดหลังจากกระดูกงอกทับเส้นประสาท หรือช่องกระดูกสันหลังตีบ

กลุ่มที่มีอาการปวดแปลกๆ เช่น ตอนกลางวันเวลาทำงานไม่ปวด แต่นอนพักผ่อนเวลากลางคืนกลับปวด กลุ่มนี้ควรรีบมาพบแพทย์ เพราะบ่งบอกถึงสัญญาณของโรคอันตราย เช่น มะเร็งกระดูก วัณโรคกระดูก เป็นต้น

กระดูกสันหลังเคลื่อน ไม่มั่นคง ทำให้มีอาการปวดเวลาขยับตัว

สังเกตอาการปวดหลังผิดปกติ

การแยกแยะด้วยตัวเองว่าอาการปวดหลังที่เป็นอยู่มาจากสาเหตุอะไรค่อนข้างยาก วิธีที่ดีที่สุดคือควรมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยให้รู้สาเหตุแน่ชัด หากพิจารณาในกลุ่มคนทำงาน หรือคนที่อายุไม่มาก อาการปวดหลังที่พบ มักมาจากสาเหตุหมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือแตกทับเส้นประสาท เป็นที่มาของอาการปวดหลังร้าวลงขาที่ทุกข์ทรมานของคนวัยทำงานที่พบบ่อย อาการปวดผิดสังเกตในลักษณะนี้ เช่น ก้มลงไปยกของขึ้นมา ปวดเสียวร้าวลงขา ปวดจนต้องปล่อยของที่ถืออยู่ในมือ จนตัวจะทรุดลงไป อาการนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าหมอนรองกระดูกแตก

โดยปกติลักษณะทางกายภาพหมอนรองกระดูกจะไม่ทนต่อแรงบิด สังเกตได้จากการยกของหนักในแนวตรงจะไม่ค่อยพบอาการปวดหลังผิดปกติ แต่เมื่อใดที่เอี้ยวตัวไปหยิบของ บางครั้งพบอาการปวดหลังร้าวลงขากะทันหัน นั่นคืออาการหมอนรองกระดูกแตกแล้วเคลื่อนไปทับเส้นประสาทได้ เพราะฉะนั้นใครที่เป็นโรคปวดหลังอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการบิดตัว หรือเอี้ยวตัวยกของ

หมอนรองกระดูกจะมีลักษณะเป็นแผ่น(ถุง หรือ capsule) ข้างในหมอนรองกระดูกจะมีลักษณะคล้ายเจลเหนียวๆ แต่ถ้าแตกหรือชำรุดเสียหาย เจลที่เคลื่อนออกมาภายนอกจะแข็งขึ้น หากไปโดนเส้นประสาทเส้นใดเส้นหนึ่งที่ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ จะทำให้ระบบนั้นผิดปกติไป

นายแพทย์พรภวิษญ์ เปรียบเทียบระบบเส้นประสาทของมนุษย์ให้เห็นภาพชัดเจนว่า ระบบเส้นประสาทก็เหมือนสายไฟ ต้นทางคือโรงไฟฟ้า ส่งต่อมาที่สายส่งกำลังแรงสูง ปากซอยจะมีหม้อแปลงไฟฟ้า มาจนถึงหน้าบ้านมีมิเตอร์ไฟฟ้า ลักษณะการบาดเจ็บต่อระบบประสาทในแต่ละจุดอาจเปรียบได้กับการระเบิดของจุดจำหน่ายไฟแต่ละจุด เช่น การระเบิดของโรงไฟฟ้า ก็จะทำให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง เปรียบได้กับคอหรือสมองของมนุษย์บาดเจ็บทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัวได้ หรือหม้อแปลงระเบิดทำให้ไฟฟ้าดับทั้งซอย เปรียบได้กับการเป็นอัมพาตทั้งขาหรือระดับเอวลงไป ในกรณีของหมอนรองกระดูกชำรุดเสียหาย เปรียบได้กับมิเตอร์หน้าบ้าน ถ้าไฟดับก็ดับเฉพาะในบ้าน เหมือนกับอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อน ที่อาจทำให้มีอาการกระดกนิ้วเท้าไม่ขึ้น กระดกข้อเท้าไม่ขึ้น เดินลำบาก แต่ไม่ถึงขั้นเป็นอัมพาต เป็นต้น

จะรู้ได้อย่างไรว่าหมอนรองกระดูกเสียหายมากน้อยแค่ไหน

เบื้องต้นแพทย์จะตรวจร่างกายทั่วไปก่อน อย่างไรก็ตามการตรวจโดยดูจากการเอกซเรย์อย่างเดียวจะมองไม่เห็นละเอียดไปถึงหมอนรองกระดูกหรือเส้นประสาท เพราะฉะนั้นอย่างน้อยที่สุดต้องตรวจด้วยการทำ MRI Scan จึงจะเห็นพยาธิสภาพของหมอนรองกระดูกที่แตก ว่ามีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน จำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัดหรือไม่

วิวัฒนาการผ่าตัดหลังรักษาหมอนรองกระดูกเคลื่อน

- วิธีมาตรฐาน ในยุคแรกจะผ่าหลังแบบเปิดแผลลงไปตรงๆ เปิดกล้ามเนื้อหลังออกเป็นช่อง และจำเป็นต้องตัดกระดูกบางส่วนเพื่อจะเข้าถึงหมอนรองกระดูกที่อยู่ด้านหลังกระดูกสันหลังได้ วิธีนี้มีข้อจำกัดคือ ประการแรกทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บ ประการที่สองจำเป็นต้องสูญเสียกระดูกบางส่วน และหลังจากผ่าตัดแล้วจะทำให้ผู้ป่วยปวดหลังต่ออีกระยะหนึ่ง เนื่องจากมีการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหลังจากการผ่าตัด

- การผ่าตัดผ่านกล้องจุลทรรศน์ ศัลยแพทย์จะมองผ่านกล้องจุลทรรศน์ในการผ่าตัด เพื่อขยายภาพให้ชัดเจนขึ้น ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กลง การบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อลดลง แต่ยังคงต้องตัดกระดูกบางส่วนออกอยู่ดี

- การผ่าตัดผ่านกล้องเอนโดสโคป วิธีนี้พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดและลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ของการผ่าตัดแบบมาตรฐาน โดยศัลยแพทย์จะเจาะรูเพื่อสอดกล้องเข้าไปในร่างกาย ซึ่งเลนส์กล้องจะติดอยู่ตรงส่วนปลายของสาย ทำให้เห็นภาพพยาธิสภาพภายในได้ชัดเจน ส่วนการนำเศษหมอนรองกระดูกที่แตกออก ทำได้โดยการสอดเครื่องมือผ่านสายกล้องเข้าไป เพื่อนำเครื่องมือเข้าไปดึงหมอนรองกระดูกที่แตกออกผ่านสายกล้อง โดยไม่ต้องเจาะแผลเพิ่ม และไม่จำเป็นต้องใช้ยาสลบ ใช้แค่ยาชาเฉพาะที่เท่านั้น เพราะฉะนั้นในขณะทำผ่าตัดผู้ป่วยจะรู้สึกตัว และสามารถบอกแพทย์ได้เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติ หรือเมื่อแพทย์นำหมอนรองกระดูกที่แตกออกมา ผู้ป่วยก็จะรู้สึกได้ทันทีว่าหายปวด ความปลอดภัยจึงมีมากขึ้น ระยะเวลาในการพักฟื้นสั้นลง นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลแค่ 1 คืนเท่านั้น

ข้อจำกัดของคนที่เข้ารับการรักษาด้วยวิธีเอนโดสโคป

กรณีที่มีกระดูกงอกมาก จนช่องสำหรับสอดเครื่องมือตีบแคบมาก จะทำให้ไม่สามารถสอดเครื่องมือเข้าไปได้

หมอนรองกระดูกแตก แล้วเคลื่อนไปอยู่ที่อื่น อาจต้องพิจารณาใช้วิธีอื่นในการผ่าตัด

ความแม่นยำของวิธีเอนโดสโคป

สำหรับศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญ วิธีนี้นับว่ามีความแม่นยำมากกว่าวิธีมาตรฐาน เพราะกล้องที่สอดเข้าไป สามารถส่องให้เห็นพยาธิสภาพภายในได้อย่างชัดเจน สามารถขยาย โฟกัสได้ สามารถมองเห็นชัดถึงเส้นประสาทนั้นๆ ช่วยหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บต่อเส้นประสาทได้ดีกว่าการเปิดแผลปกติ ที่สำคัญไม่ต้องตัดกระดูกออก

โอกาสกลับเป็นซ้ำ

ในการผ่าตัดนำหมอนรองกระดูกที่แตกออก จะไม่นำหมอนรองกระดูกที่แตกออกทั้งหมด เพราะต้องคงหมอนรองกระดูกไว้เพื่อให้สามารถทำหน้าที่รองรับข้อกระดูกสันหลังได้ และส่วนที่ยังไม่ชำรุดก็คงสภาพไว้เพื่อให้ทำหน้าที่ต่อไปได้ เพราะฉะนั้นหลังผ่าตัดหากกลับไปใช้งานหลังในลักษณะหนักเหมือนเดิม ก็มีโอกาสที่จะแตกซ้ำที่เดิมได้ สำหรับอัตราการกลับเป็นซ้ำในคนที่ผ่าตัดผ่านกล้องเอนโดสโคปมีร้อยละ 4 แต่เมื่อเป็นซ้ำก็สามารถกลับมาผ่าตรงที่เดิมได้อีก แต่ถ้าผ่าด้วยวิธีมาตรฐานจะมีโอกาสเป็นซ้ำมากกว่า โดยทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 5-10 เนื่องจากแผลสำหรับการผ่าตัดมาตรฐานจำเป็นต้องเปิดแผลใหญ่กว่า ดังนั้นการบาดเจ็บจึงมีมากกว่า

หมอนรองกระดูกเคลื่อนไม่รักษาจะเกิดอะไรขึ้น

สำหรับคนที่หมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือแตก แล้วไม่ทำการรักษาเลย จากการศึกษาส่วนใหญ่จะมีอาการแบ่งเป็น 3 ระยะดังนี้

- 1 เดือน ผู้ป่วยจะปวดมาก ลุกไม่ได้
- 3 เดือน มีอาการปวด พอทนไหว แต่ไม่สามารถทำงานได้
- 3 ปี ปวดเรื้อรังเป็นๆ หายๆ ทรมานอยู่อย่างนั้นจนกว่าร่างกายจะสามารถปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้

กลุ่มที่ตัดสินใจเข้ารับการรักษาส่วนใหญ่มาจาก 2 กรณี คือ

ไม่ต้องการทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บปวด จนทำให้ไม่สามารถทำงานหรือกิจวัตรประจำวันได้ ก็ควรเข้ารับการรักษา

จำเป็นต้องรักษา เช่น หมอนรองกระดูกแตกและเคลื่อนออกมาทับเส้นประสาทที่ควบคุมระบบขับถ่าย ทำให้กลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่ได้ หรือสังเกตว่าร่างกายเริ่มแนวโน้มของอาการอ่อนแรง เช่น กระดกนิ้วเท้าหรือข้อเท้าขึ้นไม่ได้
แม้ว่าปัจจุบันจะมีวิธีการผ่าตัดที่ไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพียงแค่ฉีดยาชาก็ผ่าตัดได้ อย่างไรก็ตาม การดูแลและถนอมการใช้งานสุขภาพหลังของตัวเองให้ดี โดยไม่ต้องมาผ่าตัด นับเป็นวิธีที่ดีที่สุด


แหล่งข้อมูล 

ผ่าตัดหลัง เรื่องเล็กจริงหรือ? - ข่าวไทยรัฐออนไลน์,ศูนย์กระดูกสันหลัง


รูปประกอบจาก 
http://www.thaitravelhealth.com/blog/wp-content/uploads/2010/11/Endoscopic-Surgery.jpg

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น