รูปเยื่อตาอักเสบ จาก http://www.laursite.com/wp-content/uploads/2011/06/PinkEyeTreatment.jpg
ในขณะที่ความเครียดรุมเร้าจากภาวะน้ำท่วม ที่ตามมาแน่นอนกว่าคือปัญหาการดูแลสุขภาพ โรคที่พบได้บ่อยในช่วงที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วม ได้แก่ "โรคตาแดง"
โรคตาแดงเกิดจากอะไร
โรคตาแดงเกิดจากการอักเสบหรือระคายเคืองที่เยื่อบุตา ถ้าเกิดจากเชื้อไวรัส มักพบได้บ่อยในช่วงหน้าฝนและบริเวณที่มีน้ำท่วม ยังมีสาเหตุอื่น เช่น ตาแดงจากการแพ้ หรือระคายเคืองและตาแดงจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
อาการของโรคตาแดงเป็นอย่างไร
มีอาการระคายเคืองหรือแสบตาปวดตา น้ำตาไหล มีขี้ตามากกว่าปกติ เยื่อบุตาขาวอักเสบแดง เห็นเส้นเลือดชัดขึ้นอาการตามสาเหตุ
ตาแดงที่เกิดจากเชื้อไวรัส อาจมีอาการกลัวแสง หนังตาบวม มักเริ่มที่ตาข้างหนึ่งก่อนแล้วจึงลามไปอีกข้าง ซึ่งหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
ตาแดงที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มีอาการ "ตาแฉะ" คือมีน้ำตาและขี้ตาปริมาณมาก ขี้ตามีลักษณะเป็นหนองหรือมูกเขียวเหลือง ลืมตาได้ยากและมองเห็นไม่ชัดโดยเฉพาะเมื่อตื่นนอน
ตาแดงที่เกิดจากการระคายเคืองหรือการแพ้ มักมีอาการโดยรวมไม่รุนแรง แต่มีอาการคันหัวตา เปลือกตา และแสบตาน้ำตาไหลเป็นอาการเด่น
การติดต่อโรคตาแดง
ตาแดงที่เกิดจากการติดเชื้อนั้น ติดต่อได้ง่ายโดยตรงจากการสัมผัสน้ำตา ขี้ตาหรือน้ำมูกของผู้ป่วย และผ่านการใช้ข้าวของเครื่องใช้ร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้าผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
การป้องกันโรคตาแดงทำได้อย่างไร
หลักการสำคัญที่สุด คือ การรักษาความสะอาดของมือและลดโอกาสที่จะรับเชื้อโรคหรือน้ำสกปรกเข้าสู่ตา
- หากน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา ควรใช้น้ำสะอาดรีบล้างหน้าและล้างตาทันที
- ไม่อยู่ใกล้หรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคตาแดง แยกของใช้ส่วนตัว เช่นผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
- หมั่นล้างมือด้วยน้ำสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้พยายามอย่าใช้มือสัมผัสกับดวงตา
การรักษาโรคตาแดง
ผู้ป่วยโรคตาแดงส่วนใหญ่สามารถหายจากอาการได้เองแม้จะไม่ได้ใช้ยา แต่ควรทราบหลักการเบื้องต้นสำหรับโรคตาแดงเพื่อดูแลตนเองและลดการติดต่อผู้อื่น
- ไม่ใช้ผ้าซับน้ำตา เนื่องจากกลายเป็นแหล่งของเชื้อโรคที่จะติดต่อถึงคนอื่นได้ หากมีน้ำตามากควรใช้กระดาษชำระทิ้งหลังจากใช้
- พักผ่อนสายตา หลับตาและผ่อนคลายเท่าที่ทำได้
- หากมีการระคายเคือง แสบหรือปวดตา อาจใช้ผ้าเย็นหรือผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ ประคบเพื่อลดอาการไม่สบายตาได้
- เมื่อมีอาการระคายเคืองร่วมกับอาการคันตา จากการระคายเคืองหรือการแพ้ พยายามอย่าขยี้ตา หากคันตามากอาจใช้ยาหยอดตาแก้แพ้ หรือรับประทานยาแก้แพ้ (ยาเม็ดสีเหลืองคลอเฟนิรามีนที่ใช้แก้แพ้ ลดน้ำมูก) เพื่อบรรเทาอาการคันตาและลดโอกาสขยี้ตาแล้วทำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน
- หากใช้ยาหยอดตาแก้แพ้แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือกลับเป็นมากขึ้น ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม แต่ถ้าไม่สามารถเดินทางไปได้อาจใช้ยาหยอดตา หรือยาป้ายตาที่มียาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเป็นองค์ประกอบ แก้ไขไปก่อนเพื่อลดโอกาสติดเชื้อแทรกซ้อนหรือลดความรุนแรงของการติดเชื้อแบคทีเรีย
- การใช้ยาหยอดตาซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อในระยะแรกควรหยอดหนึ่งหยดทั้งสองข้างบ่อยๆ ทุกๆ 2-4 ชั่วโมง อาการดีขึ้นแล้วในวันที่ 3 จึงหยอดห่างขึ้นเป็นทุก 6 ชั่วโมง
- ถ้าเป็นยาป้ายตาสำหรับฆ่าเชื้อ การป้ายตามีฤทธิ์อยู่นานกว่ายาหยอด อาจป้ายทุก 6-8 ชั่วโมง ข้อเสีย คือ เหนอะหนะ ตาพร่าจากเนื้อขี้ผึ้ง ทำให้รำคาญแต่ได้ผลดี
- ควรใช้ยาต่อเนื่องจนอาการอักเสบของเยื่อบุตาหายเป็นปกติ มักดีขึ้นภายใน1 สัปดาห์
- ไม่ใช้ยาหยอดตาที่มีตัวยาสเตียรอยด์เป็นองค์ประกอบ เพราะจะยิ่งทำให้อาการรุนแรงขึ้น
- ถ้ามีอาการต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโดยด่วน ไม่นิ่งนอนใจเพราะบางกรณีอาจเกิดอันตรายจนถึงตาบอดได้
- อาการไม่ดีขึ้นภายใน 3 วัน หลังจากใช้ยาแล้วหรืออาการแย่ลง
- มีการมองเห็นแย่ลง หรือมองภาพไม่ชัดกลัวแสงมาก
- แสบหรือปวดตามาก
ข้อควรระวังหรืออาการข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรคตาแดง
- ต้องล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังใช้ยาหยอดตา หรือยาป้ายตาทุกครั้ง
- อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการใช้ยาหยอดตาและยาป้ายตาคือการระคายเคืองหรือแสบ ตาข้างที่ใช้ยา หากใช้แล้วเกิดอาการ อาจหลับตาหรือพักสายตาสักครู่ ซึ่งน้ำตาจะค่อยๆ เจือจางยาและลดการระคายเคือง
- อาการตาพร่า หลังจากใช้ยาป้ายตาเนื่องจากเนื้อขี้ผึ้งของยา อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตา มองเห็นภาพไม่ชัด จึงต้องระวังไม่เดินหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตาเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
- ก่อนใช้ยาต้องสังเกตวันหมดอายุของยา รวมถึงลักษณะทางกายภาพของบรรจุภัณฑ์ก่อนใช้ เช่น ฝาปิดสนิทดีหรือไม่ ไม่ใช้ถ้าหมดอายุหรือมีลักษณะไม่น่าไว้วางใจ หรือไม่สะอาด และห้ามใช้ยาหยอดตาของคนอื่น เพราะอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนมาติดเราได้
- ยาหยอดตาและยาป้ายตามีอายุการใช้งานไม่เกิน 1 เดือน หลังจากวันแรกที่เปิดใช้
- ยาหยอดตาฆ่าเชื้อ ที่มีคลอแรมเฟนิคอลเป็นองค์ประกอบ ถ้ายังไม่ได้ใช้ให้เก็บไว้ในตู้เย็น ถ้าไม่มีตู้เย็น อย่างกรณีที่เป็นยาบริจาคแก่ผู้ประสบอุทกภัย เก็บในอุณหภูมิทั่วไป ยังใช้ได้อย่างน้อย 10 วันขึ้นไป แต่ต้องระวังไม่ให้สัมผัสแสงแดดหรืออยู่ในอุณหภูมิที่ร้อน เพราะอาจทำให้อายุยาสั้นลง
แหล่งข้อมูล: "ความรู้ในการใช้ยาในโรคที่มากับน้ำท่วม"
โดยผศ.ภญ.อภิฤดี เหมะจุฑา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น