พฤกษาคมของทุกปีจะเป็นเวลาเริ่มต้นแรกของฤดูฝนที่จะมาเคาะประตูบ้านเมืองไทยของเรา ที่ตามมาพร้อมกับความเปียกชื้นและอากาศเย็นๆของฝน
นั่นก็คือ อาการน้ำมูกไหล ไอ จาม ทั้งจากไข้หวัดและโรคอื่นๆ อย่างนี้แล้วคุณแม่คุณพ่อที่ใส่ใจสุขภาพคงจะเริ่มต้นกังวล แล้วว่าหน้าฝนนี้จะดูแลสุขภาพลูกน้อยอย่างไร ไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย
มาฟังคำแนะนำการดูแลสุขภาพเจ้าตัวเล็กให้แข็งแรง และหากถ้ามีไข้หวัดขึ้นมา จำเป็นจะต้องใช้ยา เราควรเตรียมยาอะไรบ้างนะ เพื่อจะได้ปกป้องลูกน้อยให้แข็งแรงตลอดหน้าฝนนี้
นั่นก็คือ อาการน้ำมูกไหล ไอ จาม ทั้งจากไข้หวัดและโรคอื่นๆ อย่างนี้แล้วคุณแม่คุณพ่อที่ใส่ใจสุขภาพคงจะเริ่มต้นกังวล แล้วว่าหน้าฝนนี้จะดูแลสุขภาพลูกน้อยอย่างไร ไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย
มาฟังคำแนะนำการดูแลสุขภาพเจ้าตัวเล็กให้แข็งแรง และหากถ้ามีไข้หวัดขึ้นมา จำเป็นจะต้องใช้ยา เราควรเตรียมยาอะไรบ้างนะ เพื่อจะได้ปกป้องลูกน้อยให้แข็งแรงตลอดหน้าฝนนี้
เด็กๆมักจะป่วยด้วยโรคอะไรได้บ่อย? ในฤดูฝนนี้
คุณแม่คุณพ่อคงต้องทราบไว้ก่อนว่า กลุ่มโรคที่พบบ่อยในฤดูฝนที่พบบ่อยสุดๆ ก็จะมี ไข้หวัดธรรมดาและอาการโรคหวัดที่แสดงอาการออกมาให้เราได้เห็นอันได้แก่ น้ำมูกไหล หายใจไม่ออก ไอ เป็นไข้ ส่วนโรคอื่น ๆที่เด็กๆ อาจเป็นอยุ่แล้วในฤดูอื่น แต่จะพบถี่เพิ่มขึ้นในฤดูฝนนี้ ก้อคือไข้หวัดใหญ่ และไข้เลือดออกนั้นเอง จะได้คอยสังเกตุไว้ก่อน
ไข้หวัดธรรมดา ธรรมดาก้อจริงแต่อย่าวางใจ
ในยามปกติลูกน้อยของเราจะได้รับการดูแลจนมีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่แล้ว แม้เขาอาจจะมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดอยุ่แล้ว ก็ไม่มีอาการโรคอะไรให้เห็น เนื่องจากระบบภูมิต้านทานโรคช่วยปกป้องอยุ่ แต่ถ้าหากช่วงนั้นภูมิต้านทานเกิดอ่อนแอขึ้นมา ลูกน้อยของเราก้ออาจแสดงอาการโรคออกมาเป็นไข้หวัดให้เห็นเราได้เห็นขึ้นมาได้
ทำไมลูกน้อยถึงมีโอกาสเป็นไข้หวัดธรรมดาหล่ะ? เด็กๆจะไม่สบายจากโรคหวัดธรรมดาก็ได้ โดยอาจจะไปติดต่อกันมาจากเพื่อนๆร่วมชั้นเรียนหรือเด็กข้างๆบ้านที่เป็นไข้หวัดมาก่อนอยุ่แล้ว ระหว่างเล่นหรือคลุกคลีกัน เด็กๆอาจจะติดเชื้อโรคด้วยการไปสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย จากการไอ จาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอยู่ในที่แออัด สภาพแวดล้อมที่ไม่มีการดูแลความสะอาด เช่น สถานเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล หรือแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ได้แก่ห้างสรรพสินค้าที่คนเย้อะๆแออัดมากๆ อากาศถ่ายเทไม่ดี เป็นต้น
ทำไมลูกน้อยถึงมีโอกาสเป็นไข้หวัดธรรมดาหล่ะ? เด็กๆจะไม่สบายจากโรคหวัดธรรมดาก็ได้ โดยอาจจะไปติดต่อกันมาจากเพื่อนๆร่วมชั้นเรียนหรือเด็กข้างๆบ้านที่เป็นไข้หวัดมาก่อนอยุ่แล้ว ระหว่างเล่นหรือคลุกคลีกัน เด็กๆอาจจะติดเชื้อโรคด้วยการไปสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย จากการไอ จาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอยู่ในที่แออัด สภาพแวดล้อมที่ไม่มีการดูแลความสะอาด เช่น สถานเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล หรือแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ได้แก่ห้างสรรพสินค้าที่คนเย้อะๆแออัดมากๆ อากาศถ่ายเทไม่ดี เป็นต้น
อาการของไข้หวัดธรรมดา จะรู้ได้อย่างไรหล่ะ?
คุณแม่คงต้องแปลงกายไปเป็นนักสืบสุขภาพน้องน้อยแล้วหล่ะคราวนี้ คอยหมั่นสังเกตุอาการความเป็นอยู่ของลูกรัก อย่างเช่นหากเด็กๆเคยร่าเริงดี กินข้าวได้หลายชาม หลับสบายอุตุ แต่วันนึงหากเขาเริ่มมีอาการซึมลงๆ มีไข้ต่ำๆ หรือบางคนวัดอุณหภูมิร่างกายแล้วอาการไข้ไม่ขึ้นก้อเป็นไปได้ แค่สัมผัสตัวแล้วไข้รุมๆเฉยๆ
แต่เด็กมักจะแสดงอาการป่วยด้วยอาการ ไอ จาม น้ำมูกไหล ในช่วงแรกๆ หากเช็ดจมูกให้ จะพบเป็นน้ำมูกใส ๆ หากไม่ดูแลให้ดี ถ้าเป็นหลายวันๆ สีจะข้นขึ้นเป็นสีขาวขุ่น เหลืองหรือเขียว นอกจากนี้ ยังมีอาการคัดจมูก แน่นจมูกจนหายใจไม่ออก ไม่อยากกินอาหารหรือนม โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆที่ยังพูดคุยกับเราไม่ได้ จะมีอาการร้องไห้งอแงมากกว่าปกติก้อได้ เพื่อส่งสัญญานว่า ตอนนี้หนูไม่ค่อยสบายเป็นหวัดแล้วนะ คุณแม่ช่วยหนูหน่อยซิฮะ
จะรู้ได้ไง ว่าลูกน้อยเป็นโรคหวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ หรือไข้เลือดออก
ดังนั้นถ้าเด็กมีอาการตามที่แนะนำมา ต้องตรวจสอบแน่ใจแล้วว่า อาการของลูกน้อยที่เป็นไข้หวัดธรรมดา มักจะมีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ มีอาการน้ำมูก ไอ จามชัดเจน
แต่ทว่า...หากโชคร้าย ลูกรักเป็นไข้หวัดใหญ่ มักจะมีไข้ขึ้นสูงชัดเจน วัดอุณหภูมิร่างกาย ก้อจะสูงมากกว่าปกติ เด็กๆมักจะบ่นว่าปวดเมื่อยเนื้อตัว ทั้งๆที่ไม่ได้ออกไปเล่นอะไรมาเลย ที่พบบ่อยหน่อยก้อคือ เขาจะบ่นปวดศีรษะ เบื่อกินอาหาร อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ลูกน้อยจะซึมลงๆ
และหากโชคร้ายที่สุด ถ้าเป็นไข้เลือดออกขึ้นมาหล่ะก้อ เด็กจะมีไข้สูงลอยๆตลอดเวลา พอให้กินยาพาราลดไข้ ไข้ก็ไม่ค่อยลง หรือพอหมดฤทธิ์ยา ไข้สูงก้อจะกลับมาเป็นใหม่ หากสังเกตุดูเด็กจะมีอาการหน้าแดง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ บ่นว่าปวดท้องคลื่นไส้อาเจียน และในที่สุดมักมีจุดสีแดงๆของเลือด ออกตามผิวหนัง หลังจากมีไข้ภายใน 3-4 วัน
แต่ทว่า...หากโชคร้าย ลูกรักเป็นไข้หวัดใหญ่ มักจะมีไข้ขึ้นสูงชัดเจน วัดอุณหภูมิร่างกาย ก้อจะสูงมากกว่าปกติ เด็กๆมักจะบ่นว่าปวดเมื่อยเนื้อตัว ทั้งๆที่ไม่ได้ออกไปเล่นอะไรมาเลย ที่พบบ่อยหน่อยก้อคือ เขาจะบ่นปวดศีรษะ เบื่อกินอาหาร อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ลูกน้อยจะซึมลงๆ
และหากโชคร้ายที่สุด ถ้าเป็นไข้เลือดออกขึ้นมาหล่ะก้อ เด็กจะมีไข้สูงลอยๆตลอดเวลา พอให้กินยาพาราลดไข้ ไข้ก็ไม่ค่อยลง หรือพอหมดฤทธิ์ยา ไข้สูงก้อจะกลับมาเป็นใหม่ หากสังเกตุดูเด็กจะมีอาการหน้าแดง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ บ่นว่าปวดท้องคลื่นไส้อาเจียน และในที่สุดมักมีจุดสีแดงๆของเลือด ออกตามผิวหนัง หลังจากมีไข้ภายใน 3-4 วัน
คุณแม่คุณพ่อคือหมอคนแรกที่ดูแลลูก เมื่อเริ่มเป็นโรคหวัด
เมื่อทราบว่าลูกเป็นหวัดอย่าได้ตกใจไปเลย ถึงเวลาหมอประจำบ้านคนแรกของเด็กๆแล้วหล่ะ เริ่มต้นควรให้ความอบอุ่นให้เพียงพอ ถ้าเด็กไอก็ให้ดื่มน้ำอุ่นมากๆจะดีกว่าและปลอดภัย แต่หายังไอถี่ๆ ไอหนักๆ มากกว่าเดิม ให้จิบน้ำมะนาวผสมเกลือและน้ำตาลหรือน้ำผึ้ง เพื่อขับเสมหะ ถ้ามีอาการไข้ต่ำ ๆ การลดไข้อาจใช้เพียงเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิปกติ
- ถ้าวัดไข้แล้วยังสูง ควรให้ยาลดไข้ ปรึกษาการใช้ยาได้จากเภสัชกรทันทีเลยครับ
- ถ้ามีน้ำมูกไหล หมั่นดูแลทำความสะอาดช่องจมูก ใช้สำลีพันปลายไม้ ชุบน้ำอุ่นหรือน้ำเกลือเช็ดในจมูกให้โล่ง โดยเฉพาะก่อนกินอาหารหรือ ก่อนนอน
- ถ้ามีน้ำมูกเริ่มมากจนคัดจมูก ใช้ลูกยางดูดน้ำมูกออก บรรยากาศที่มีความชื้นพอประมาณจะช่วยให้ การหายใจสบายขึ้น ดังนั้นในห้องที่อากาศแห้งความชื้นต่ำ สามารถเอาน้ำอุ่นใส่ชามให้เด็กหายใจเอาไอน้ำเข้าไปทำให้สบายขึ้นได้
เห็นไหมว่า คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลอาการไข้หวัดให้ลดลงได้ตามวิธีธรรมชาติ ก่อนที่จะเริ่มต้นไปใช้ยาใดๆเสียด้วยซ้ำไป
ถ้าต้องใช้ยา ในกรณีที่การรักษาเบื้องตันไม่ดีขึ้น
หากอาการที่เล่ามาทั้งหมดยังไม่ดีขึ้น ไข้หวัดโดยทั่ว ๆ ไป อาการมักไม่รุนแรงและหายได้ ขึ้นอยุ่กับภูมิต้านทานของลูกเราเอง ถ้าเขาเป็นเด็กสุขภาพร่างกายพัฒนาตามปกติ แข็งแรงดี ไม่มีโรคแทรกซ้อนอะไร คุณแม่สามารถทำการดูแลเบื้องต้นที่บ้านก่อนก้อได้ ไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์ทันที
แต่ถ้าในกรณีที่เพิ่งเป็นหวัดอาการไม่รุนแรง แต่ในกรณีที่เป็นเด็กเล็กมากๆ หรือเด็กเคยมีประวัติมีโรคประจำตัวเช่น หอบหืด โรคหัวใจ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องควรรีบไปหาหมอทันทีครับ
ถ้าจำเป็นต้องใช้ยา ให้ปรึกษาเภสัชกรเสียก่อน แน่นอนและปลอดภัย
ทำไมบางครั้งเราถึงจำเป็นต้องใช้ยามาเป็น “ตัวช่วย” ให้น้องบรรเทาอาการต่างๆด้วยหล่ะ ทั้งนี้แพทย์และเภสัชกรเองได้พบแล้วว่า หากปล่อยให้ร่างกายเด็กน้อยต้องไปสู้กับเชื้อโรคหรืออาการต่างๆแต่เพียงลำพัง อาจจะยังไม่พอ ทั้งนี้ก็เพื่อบรรเทาอาการต่างๆไม่ให้ลุกลาม จนกลายเป็นโรคร้ายแรงอื่นๆตามมาได้ แต่หากจะใช้ยา อย่างเกรงใจเภสัชกรเลย ให้สอบถาม ทบทวนทุกประเด็นการใช้ยา เพื่อลูกรักจะได้ใช้ยาอย่างได้ผลและปลอดภัย ดังนี้
- ถ้ายังมีอาการน้ำมูกไหล หรือคัดจมูกแน่นมากๆจนหายใจไม่ค่อยออก อาจเลือกใช้ยาแก้หวัดลดน้ำมูกได้
- ยาแก้หวัดกลุ่มที่เรียกว่า ยาต้านฤทธิ์ฮีสตามีน ต้องระวังอย่างมากในเด็กเล็ก ๆ หรือเด็กที่เป็นหอบหืดอยู่เดิมแล้ว ยากลุ่มนี้จะช่วยทำให้ทางเดินหายใจของเขาโล่งขึ้น หายใจสะดวก โดยไปทำให้น้ำมูกแห้งลงและอาการจามฮัดเช้ยน้อยลงไปด้วย
- หากลูกเรา มีอาการคัดจมูก รูจมูกบวมแน่นจนหายใจไม่ออก อาจต้องใช้ยากลุ่มพวกที่ลดอาการยุบบวมในจมูก มีทั้งรูปแบบยาพ่นจมูก หรือยากินในรูปแบบยาน้ำ ข้อดีของยากลุ่มนี้ คือออกฤทธิ์เร็วทันใจ ช่วยให้ลูกเราโล่งจมูก หายใจได้ทันที แต่ควรระวังเรื่องขนาดของการใช้ เพราะถ้ามากเกินไปจะเกิดผลตรงกันข้าม ทำให้น้ำมูกจับตัวเป็นก้อนแข็งมากเกินไป ทำให้ไปอุดตันทางเดินหายใจไม่ออก จะยิ่งแย่ลงไปใหญ่ ก่อนใช้ปรึกษาเภสัชกรก่อนนะครับ
- ส่วนยาปฏิชีวนะ หรือเรียกกันทั่วๆ ไปว่ายาฆ่าเชื้อ หรือยาแก้อักเสบนั้น ไม่ควรให้ในคนไข้เด็ก ในทันทีที่เริ่มต้นมีอาการหวัด เนื่องจากโรคไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส เราจะเลือกนำมาใช้ก็ในกรณี ภูมิต้านทานเขาไม่แข็งแรงมากพอ เกิดมีผลข้างเคียง จากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตามมา หมอจึงจะเลือกจ่ายให้ตามอาการครับ
- ที่ร้านยาของตัวเภสัชกรเอง เนื่องจากใกล้โรงพยาบาลเอกชน มักมีคุณแม่บางรายมาขอรบเร้าให้จ่ายยาฆ่าเชื้อไวรัส แบบเดียวกับที่เคยได้รับมาจากโรงพยาบาลเลย ซึ่งไม่แนะนำเลยครับ เนื่องจากยังไม่มียาที่จำเพาะเจาะจงต่อเชื้อไวรัสกลุ่มนี้ อาการของโรคเองก้อไม่รุนแรง การใช้ยากลุ่มนี้อาจมีผลข้างเคียงมาก และราคาของยากลุ่มนี้ก้อสูงมาก เรามักจะสงวนยานี้สำหรับอาการไข้หวัดติดเชื้อไวรัสกลุ่มรุนแรงหรือในกลุ่มคนไข้เด็กที่มีปัญหาเรื่องระบบภูมิต้านทานไม่ปกติครับ
เมื่อไหร่ ควรจะหยุดใช้ยา
เมื่อได้รับวินิจฉัยถูกต้อง พร้อมรับการรักษาครบถ้วนแล้ว เด็กจะเริ่มมีอาการที่ดีขึ้นๆ ความจำเป็นต้องรับประทานยาต่อหรือไม่ เมื่ออาการดีขึ้น ยาแก้หวัด และลดไข้ก็หยุดได้ แต่คงต้องเฝ้าระวังอาการ ว่าจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นหรือไม่ด้วย
เมื่อเด็กหายป่วย ให้เสริมอาหารอีกหนึ่งมื้อเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษทุกวันต่อไปอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อจะได้ชดเชยส่วนที่ขาดไป เด็กก็จะได้ฟื้นตัวเร็ว และป้องกันไม่ให้การเจริญเติบโตของเขา จะได้ไม่ถูกกระทบกระเทือนนานเกินไปเนื่องจากป่วยไข้ไป เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพลูกรักของคุณแม่คุณพ่อทุกท่านในฤดูฝนที่กำลังเดินทางมาถึงนี้ ขอให้เด็กๆแข็งแรง เติบโตสมวัยในย่างหน้าฝนนี้นะครับ
รูปประกอบจาก
http://www.4little1.com/assets/Baby-boy-and-Mum.jpg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น