วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

THE PHARMACEUTICAL MARKET: THAILAND - 2012


The macroenvironment is positive for the Thai pharmaceutical market. Politically, Yingluck Shinawatra became Thailand’s first female Prime Minister in August 2011. Economically, the Economist Intelligence Unit (EIU) projects that Thailand will be the eighth largest economy in the Asia Pacific region by 2017. Legally, Thailand remained on the USTR’s Priority Watch List in 2011. Demographically, the EIU projects an annual growth rate of around 0.6% during the forecast period and the population will be the ninth largest in the Asia Pacific region by 2017. The elderly population is rising; Thailand is expected to have the eighth highest proportion in the Asia Pacific region in 2017.

Despite relying heavily on imports, Thailand’s pharmaceutical market is growing. The balance of pharmaceutical trade remains considerably negative, with retail medicaments accounting for over two-thirds of the total deficit. Between 2006 and 2010, the deficit in the balance of trade rose by a high double-digit CAGR. Thailand’s pharmaceutical market is estimated to grow at a low double-digit CAGR in US dollar terms between 2012 and 2017. Thailand will have the eighth largest pharmaceutical market in the Asia Pacific region in 2017. In per capita terms, Thailand is projected to have the eighth highest rate in the Asia Pacific region by 2017.

The Thai generic sector is growing, especially in the public sector, where the government has encouraged its use over patented drugs in order to cut costs. Greater Pharma has recently launched its first generic inhaler drug for the treatment of osteoporosis, making it the first company in Southeast Asia to successfully manufacture a generic version of this drug. The Thai biologic sector is very underdeveloped, but there are signs that this could change. The government-backed organisation BIOTEC has formed partnerships with both Greater Pharma and i+MED. Greater Pharma has developed the first biologic allergy vaccine in South-east Asia.

In case you would like to learn more about our Thailand Pharmaceutical movements and directions. I recommend you to attend the coming conference “Thailand's Pharmaceutical Market 2012” on 30-31 August 2012 -organised by BMN Thailand. In case you need more info, please click the below link, for e-brochure.



10 วิธีเพิ่มภูมิต้านทานภูมิคุ้มกันโรค


เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา คนไข้ 9 ใน 10 รายที่มาแวะเยี่ยมที่ร้านยาไม่ว่าไทย ญี่ปุ่น ฝรั่ง แขก พม่า เขมร นานาชาติล้วนแต่มีปัญหาโรคติดเชื้อและภูมิต้านทานลดลง มาจามฮัดเช้ย น้ำมูกไหลหรือเจ็บคอกันทั้งหมด  ไปเจอบทความ 'Help your body beat your bugs' ที่มีอาจารย์ นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ เพื่อนบ้านที่โอเคเนชั่นแปลอยู่ จึงขอมาแบ่งปันเป็นแนวทาง
วิธีเพิ่มภูมิต้านทานโรคดังนี้

ร่างกายเราสู้เชื้อโรคได้อย่างไร
อ.จอห์น เคอร์นาว จากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม อังกฤษ (UK) กล่าวว่า เซลล์ระบบภูมิต้านทานโรคของคนเรามี 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่

(1). นักกินเชื้อโรค > แมโครฟาจ (macrophage; macro), และนิวโทรฟิล (neutrophil) ทำหน้าที่กลืนแบคทีเรีย (เชื้อโรคกลุ่มหนึ่ง) และทำลายแบคทีเรียด้วยน้ำย่อย (เอนไซม์) หรือสารเคมีหลายชนิดภายในเซลล์

(2). นักกินเซลล์หรือ 'T cells' > เซลล์ T (T cells) ทำหน้าที่กินเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส หรือกลายเป็นมะเร็ง

(3). นักสร้างสารเคมีหรือ 'B cells' > เซลล์ B (B cells) ทำหน้าที่สร้างสารเคมีที่ทำหน้าที่คล้ายกับดัก (antibody) ซึ่งทำหน้าที่ดักจับไวรัสไว้ ไม่ให้เข้าไปในเซลล์ของร่างกาย

ยิ่งสูงอายุ ทำไมอ่อนแอลง
ศ. จาเนท ลอร์ด จากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม อังกฤษ (UK) กล่าวว่า คนที่มีอายุมากขึ้น (เกิน 65 ปี) มักจะมีภูมิต้านทานโรคลดลง เนื่องจากร่างกายสร้างเซลล์ T ได้น้อยลง และเซลล์ระบบภูมิต้านทานที่เหลือก็จะทำหน้าที่ได้น้อยลงไปด้วย

ตัวอย่างเช่น หลังการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่... คนอายุน้อยจะสร้างภูมิต้านทานมากพอที่จะป้องกันการติดเชื้อได้ประมาณ 4/5 ของคนทั้งหมด หรือถ้าฉีด 5 คนจะมีภูมิต้านทานสูงพอที่จะป้องกันโรคได้ 4 คน
คนสูงอายุจะสร้างภูมิต้านทานโรคหลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้มากพอไม่ถึงครึ่งหนึ่งของคนทั้งหมด หรือถ้าฉีด 100 คนจะมีภูมิต้านทานสูงพอที่จะป้องกันโรคได้ไม่ถึง 50 คน เนื่องจากเซลล์ฝ่ายกินเชื้อโรคเองก็มีความสามารถลดลงไปประมาณครึ่งหนึ่งของคนอายุน้อย

วิธีเพิ่มภูมิต้านทาน (ภูมิคุ้มกัน) โรคที่สำคัญได้แก่

(1). ลดน้ำหนักลงช้าๆ (ถ้าน้ำหนักเกินเกณฑ์)
น้ำหนักตัวที่พอดี หรืออยู่ในเกณฑ์ดีสำหรับคนเอเชียคิดจากดัชนีมวลกาย (body mass index / BMI) = 18.5-22.9 ซึ่งคิดได้จากน้ำหนักเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตร 2 ครั้ง

น้ำหนักตัวที่พอดีสำหรับคนไทย (ไม่ควรเกิน BMI = 22.9) = 22.9 x ส่วนสูงเป็นเมตร x ส่วนสูงเป็นเมตร เช่น สมมตินายกอสูง 170 เซนติเมตร จะได้น้ำหนักไม่ควรเกิน 22.9 x 1.7 x 1.7 = 66.18 กิโลกรัม

เซลล์ไขมันที่มากเกินจะหลั่งสารกดภูมิต้านทานโรคออกมา ทำให้ภูมิต้านทานโรคลดลง... วิธีที่ดี คือ ให้ลดน้ำหนักลงช้าๆ (ไม่เกิน 0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์) ด้วยการกินอาหารสุขภาพที่มีอาหารครบทุกหมู่ มีไขมัน-แป้ง-น้ำตาลต่ำหน่อย มีเส้นใยหรือไฟเบอร์มากหน่อย เช่น เปลี่ยนข้าวข้าวเป็นข้าวกล้อง ฯลฯ

อย่าลดน้ำหนักให้ลดลงมากกว่า 0.5 กก./สัปดาห์ เนื่องจากอาจทำให้ภูมิต้านทานโรคต่ำลงจากการขนาดโปรตีน (ใช้ในการสร้างสารภูมิต้านทาน) หรือกำลังงาน (การสร้างโปรตีนจะต้องอาศัยทั้งโปรตีน และกำลังงานมากพอ)

(2). นอนให้มากพอ
คนส่วนใหญ่ต้องการนอน 7 ชั่วโมง/คืน... การศึกษาจากสหรัฐฯ พบว่า การอดนอน 1 คืนทำให้ภูมิต้านทานโรคลดลง โดยทำให้เซลล์ T กินเซลล์ที่ติดไวรัสหรือมะเร็งได้น้อยลง และเซลล์ B สร้างภูมิต้านทานโรคได้น้อยลง

(3). ออกกำลังบ่อยๆ
การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Br J Sports Medicine รายงานว่า การออกแรง-ออกกำลัง 5 วัน/สัปดาห์ลดโอกาสติดหวัดได้ 43-46%

การศึกษาจากสหรัฐฯ รายงานว่า การออกกำลังแรงปานกลาง เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ฯลฯ เพิ่มระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนได้ 2 เท่า

 (4). หลีกเลี่ยงและลดความเครียด
การศึกษาหนึ่งพบว่า ความเครียดทางกายจากกระดูกต้นขา หรือข้อสะโพกหัก (hip fracture) ทำให้ภูมิต้านทานโรคลดลงได้มากพอๆ กับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก

กลไกที่เป็นไปได้คือ ความเครียดเรื้อรังทำให้ฮอร์โมนเครียดมีระดับสูงขึ้น และเซลล์นักกิน (neutrophil) กินเชื้อโรคได้น้อยลง

ศ.ลอร์ดกล่าวว่า คนเรามักจะกล่าวกันว่า คนสูงอายุที่สูญเสียคู่ครองมักจะตายตามจากหัวใจแตกสลาย (broken heart)... จริงๆ แล้ว, คนเหล่านี้ตายจากภาวะภูมิต้านทานโรคลดลง

(5). กินอาหารเสริมภูมิต้านทานโรค
ศ.รอน คัทเลอร์ จากมหาวิทยาลัยลอนดอน แนะนำให้กินอาหารที่มีจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น โยเกิร์ต/นมเปรี้ยว ฯลฯ เป็นประจำ โดยเฉพาะหลังกินยาปฏิชีวนะ (ควรเลือกชนิดไขมันต่ำ-น้ำตาลต่ำ)

อาหารอื่นๆ ที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานโรค (ไม่จำเป็นต้องได้รับขนาดสูง) ได้แก่
เซเลเนียม > มีในปลาทะเล เนื้อ สัตว์ปีก ธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง ฯลฯ ไข่ นัท (nut = เมล็ดพืชเปลือกแข็งกระเทาะเปลือก) เช่น บราซิลนัท วอลนัท ฯลฯ [ NIH ]
เหล็ก > มีในเนื้อสัตว์ เลือดสัตว์ เมล็ดพืช)


สังกะสี > มีในหอยนางรม อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์นม เนื้อ สัตว์ปีก ถั่ว นัท เช่น อัลมอนด์ ฯลฯ ข้าวโอ๊ต [ NIH ]

วิตามิน A > มีในผักผลไม้ที่มีสีส้ม-เหลือง, คนที่มีตัวเหลืองง่ายหลังกินผักผลไม้ เช่น ส้ม ฯลฯ อาจขาดเอนไซม์ หรือน้ำย่อยในการเปลี่ยนเบต้าแคโรทีน (สารก่อนวิตามิน A) เป็นวิตามิน A, การกินวิตามินรวม (มีขายเป็นขวด - เม็ดละไม่กี่สิบสตางค์) พร้อมอาหารที่มีไขมันช่วยป้องกันการขาดวิตามิน A ได้

วิตามิน C > มีในผัก ผลไม้สด

วิตามิน E > มีในน้ำมันพืช เมล็ดพืช

(6). รับแสงแดดอ่อน
 ศ.ลอร์ด กล่าวว่า แสงแดดอ่อนช่วยให้ผิวหนังสร้างวิตามิน D ซึ่งช่วยให้เซลล์นักกินเชื้อโรค (macrophages) กินเชื้อโรค เช่น วัณโรค ฯลฯ ได้

อาหารที่มีวิตามิน D สูงได้แก่ ปลาทะเลที่ไม่ผ่านการทอด น้ำมันปลา ไข่แดง

คนสูงอายุในสหราชอาณาจักร (UK) ขาดวิตามิน D ประมาณ 80%, ขนาดของแสงแดดอ่อนตอนเช้า (ก่อน 9.00 น.) หรือเย็น (หลัง 16.00 น.) ที่ช่วยให้ผิวหนังสร้างวิตามิน D ได้พอ (ควรใส่เสื้อแขนสั้น-กางเกงขาสั้น) คือ 20 นาที/วัน

คนที่ได้รับแสงแดดอ่อนไม่มากพอ ควรกินวิตามินรวมวันละ 1 เม็ดพร้อมอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากวิตามิน D ต้องอาศัยน้ำมันเป็นพาหะนำเข้าสู่ร่างกาย

(7). ระวังจมูกเย็น อย่าให้เป็นหวัดง่ายๆ
ศ.รอน เอคเคิลส์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหวัดจากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ อังกฤษ (UK) กล่าวว่า จมูกคนเราเป็นด่านหน้าในการป้องกันโรคหวัด-ไข้หวัด-ไข้หวัดใหญ่

เซลล์ขน (cilia) ที่ทำหน้าที่พัดโบกสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคออกจากทางเดินหายใจจะทำงานได้ดีขึ้นถ้าไม่เย็น เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงสถานที่เย็นจัด เช่น ไม่เปิดแอร์เป่าลมมาตรงตัวเรา ใช้ผ้าพันคอถ้ารู้สึกหนาว ฯลฯ

(8). หลีกเลี่ยงดีกว่าต้านทาน
 การล้างมือด้วยสบู่ หรือถูมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อนกินอาหาร-ดื่มน้ำ-สัมผัสใบหน้า-ก่อนเข้าบ้าน, หลังใช้ห้องน้ำ-ใช้สิ่งของร่วมกับคนอื่น ช่วยป้องกันโรคหวัด-ไข้หวัด-ไข้หวัดใหญ่-ลำไส้อักเสบจากไวรัส (ทำให้ท้องเสีย) ได้

การหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปในห้องแอร์ที่มีคนอยู่กันมากๆ เช่น ไนท์คลับ ผับ บาร์ โรงหนัง ฯลฯ และไม่เข้าใกล้คนที่ไอหรือจามในระยะ 2 เมตร ช่วยป้องกันโรคได้ในระดับหนึ่ง (ถ้าอากาศระบายไม่ดี ควรหลีกหนีให้ไกลกว่านั้น)

(9). ไม่ดื่มหนัก
 การไม่ดื่ม (แอลกอฮอล์) หนัก ช่วยป้องกันภูมิต้านทานต่ำลงได้ (การดื่มหนักทำให้เซลล์ T ทำงานได้แย่ลง)

(10). ไม่สูบ
การไม่สูบบุหรี่ และไม่หายใจเอาควันบุหรี่ที่คนอื่นสูบเข้าไป ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น หวัด-ไข้หวัด-ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม วัณโรค ฯลฯ ได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากบุหรี่กดภูมิคุ้มกันของทางเดินหายใจ

การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า การฝึกไทชิ (ชี่กง)  เดินจงกลมเพิ่มภูมิต้านทานโรคได้ เมืองไทยเราน่าจะทำการศึกษาวิจัยดูว่า การออกแรง-ออกกำลังรูปแบบอื่นๆ ในไทย เช่น รำกระบองชีวจิต มวยจีน ฯลฯ เพิ่มภูมิต้านทานโรคได้หรือไม่

ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ

แหล่งข้อมูล
นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ รพ.ห้างฉัตร ลำปาง. 20 พฤศจิกายน 2553. http://health2u.exteen.com/20101120/10-en

6 วิธีเพิ่มภูมิต้านทานโรค
http://pha.narak.com/topic.php?No=26818

วิตามินต่างๆ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน

immune systems,

How to boost your immune system, Excerpted from The Truth About Your Immune System, a Special Health Report from Harvard Health Publications,
http://www.health.harvard.edu/flu-resource-center/how-to-boost-your-immune-system.htm

Fight Flu with Food: Naturally Boost Your Immune System to Stay Healthy,


รูปประกอบจาก
Proper Nutrition to Keep Oral Healthy, jefraskin.com

Guide to quit smoking Quitting smoking is undoubtedly the best decision you, saferxdrugs.com




วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิตามินซีสำหรับฉีด เอามาทาแล้ว หน้าใสได้หรือไม่? โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล



“วิตามินซีทาหน้า (Vitamin C Injection) ใช้มาร์คหน้า ทาหน้า ทารักแร้ ขาหนีบ ขาวใส ไม่ต้องฉีด ไม่แพง ไม่มีของปลอม มี อย. รับรองใช้แล้วหน้าใส ไบร้ทเป็นประกายปิ้งๆๆๆ” 

คุณสาวๆที่อยากสวยหน้าใส ฟังแล้วแทบอยากซื้อมาซักสองร้อยโหล จะทาให้หน้าใสไปชั่วชีวิตเลย แต่คุณผู้หญิงที่ฉลาดจะถามมาก่อนเลยว่า มันจะได้ผลและปลอดภัยจริงหรือ? มาฟังคำตอบจากเภสัชกรกัน

วิตามินซีช่วยหน้าใส ได้ผลจริงไหม ?
สภาพผิวของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย หากเราได้รับสารอาหารครบถ้วน ดูแลผิวพรรณอย่างเหมาะสมตามสภาพ จะช่วยทำให้ความเสื่อมชราลดลงมากกว่าใครก้อตามที่ไม่เริ่มต้นดูแลผิวเลย

ที่เราชอบเรียกกันว่าหน้าใส นั้น จริงๆแล้วเกิดจากการที่เราดูแลผิวดีตามที่กล่าวมาข้างต้น ผิวของเราจะสมบูรณ์ มีความชุ่มชี้นเปล่งปลั่ง สีผิวเรียบสม่ำเสมอ ก็เลยดูและเรียกว่าผิวหน้าใส หน้าที่ของวิตามินซีเป็นหนึ่งในสารสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ที่ไปสร้าง ความเต่งตึง เปล่งปลั่งของผิวเรา 

วิตามินซี จะกิน หรือทา หรือฉีดแบบไหนดีกว่ากัน
คงไม่ต้องบอกว่าแหล่งอาหารประเภทไหนที่เราจะได้วิตามินซีอย่างเพียงพออีกแล้ว เราสามารถเลือกอาหาร ผลไม้ อาหารเสริมที่มีวิตามินธรรมชาติได้อย่างเพียงพออยู่แล้ว พอเรากินเข้าไประบบดูดซึมก้อจะนำพาวิตามินซีไปสู่เป้าหมายต่างๆรวมทั้งผิวหนังอย่างสมดุลย์ช่วยทำหน้าที่รักษาสภาพผิวให้สวยงามต่อไป

แต่ถ้าหากในคนไข้บางรายที่มีปัญหาเรื่องโภชนาการ หรือร่างกายมีการดูดซึมได้น้อย แพทย์จะเลือกเสริมวิตามินตัวนี้โดยการฉีด แต่ไม่ง่ายดายเหมือนกับในโฆษณาที่มามั่วๆกันอยู่ ต้องดูสภาพร่างกายของคนไข้ เลือกรูปแบบยาฉีดที่เหมาะสม ขบวนการให้ก้อต้องดูว่าจะฉีดอย่างไรเข้าเส้นหรือกล้ามเนื้อ ทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ชำนาญการเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้ปลอดภัยทั้งก่อนและหลังการฉีด และคอยตรวจสภาพร่างกายว่าเราได้รับยาฉีดเพียงพอแล้ว

การหลงเชื่อคำกล่าวแม่ค้าพ่อค้าหิวเงิน ไปหลงซื้อมาฉีดเอง คือการฆ่าตัวตายด้วยความโง่ของคนไข้และความโลภของคนขายแท้ๆ 

วิตามินซีแบบฉีด (Vitamin C Injection) เอามาทาหน้า ได้ผลมั้ย?หากคุณสาวๆ เข้าใจกันถึงนิสัยของวิตามินซีตัวนี้กันแล้ว คงไม่ต้องแปลกใจที่จะบอกว่าวิตามินซีแบบฉีด (Vitamin C Injection) นั้นเมื่อเราเปิดภาชนะบรรจุแล้ว
ตัวมันเองจะโดนสภาพแวดล้อม ทำลายคุณภาพลงไปอย่างรวดเร็วมาก ไม่ได้มีความเข้มข้นเหมือนในหลอด ดังนั้นปริมาณวิตามินซีที่เพียงพอเมื่อถึงผิวจริงๆ จะเสื่อมสลายไปแล้วจำนวนหนึ่ง

ซ้ำร้าย วิตามินซีแบบน้ำในยาฉีดนั้น  ไม่มีความสามารถในการดูดซึมซับไปสู่ผิวหนังแท้หรือชั้นกล้ามเนื้อที่สร้างความเต่งตึงได้เลยแต่อย่างใด หากเราทาไปก้อแค่กลิ้งไปมาบนผิวหนังชั้นนอกๆ แล้วก้อระเหยออกไป ไม่มีทางที่ที่วิตามินซีจะแสดงศักยภาพช่วยให้ผิวสวยสดใส แต่อย่างใด ซ้ำร้ายอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองเนื่องจากค่าความเป็นกรดซ้ำเติมให้ผิวแย่ลงได้ไปอีก

เภสัชกรหนุ่มหล่อขอสรุปฟันธง สแกนกรรม เอกซ์เรย์ ตาทิพย์ได้เลยว่า 
การนำวิตามินซีรูปแบบยาฉีดดังกล่าวมาใช้ทาหน้า ไม่มีโอกาสจะได้ผล ตามความจริงที่เล่ามาแล้ว  ถ้าคุณสาวๆ จะอ้างว่าก้อมันได้ผลจริงๆนะ หากยังมีสมองอยุ่ก้ออยากจะบอกว่า จะเชื่อใครระหว่างเภสัชกรที่เอาความจริง ที่ค้นคว้ามาเตือนกัน หรือคนขายของที่ไม่รู้อะไรเลย นอกจากอยากได้เงินจากกระเป๋าเราเท่านั้น


หวังว่า คงเข้าใจดีแล้วนะครับ ถ้ามีอาการที่เล่ามาก้ออย่าได้วางใจเพราะสมัยนี้การเคลื่อนตัวของเชื้อโรคนั้นเร็วมั่กๆเลย คุณพ่อคุณแม่ที่รักทั้งหลายมีคำถามสุขภาพลูกรักอะไร ก้อส่งอีเมลล์มาถามเภสัชกรได้เลยนะครับ

แหล่งข้อมูล

เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล สงวนลิขสิทธิ์ 28 กค. 2555

ห้ามนำบทความ รูปภาพและเนื้อหาอื่นๆ โดยผู้เขียนไปเผยแพร่เชิงพาณิชย์ ให้นำไปเผยแพร่เป็นวิทยาทานหรือเพื่อการศึกษาเท่านั้น ผู้ประกอบการเว็บไซต์ต้องยึดหลักความเคารพและคำนึงถึงลิขสิทธิ์ในการสร้างสรรค์งานเขียนและจริยธรรมทางธุรกิจ

การนำเอาบทความ รูปภาพและเนื้อหาอื่นๆ ซึ่งผลิตขึ้นโดยผู้เขียนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตและผลิตซ้ำเพื่อเผยแพร่ กรุณาอ้างอิงแหล่งที่มาและ Copy url address ไปด้วยเพื่อให้ผู้อ่านสามารถลิ้งค์กลับมาอ่านบทความจากเว็บไซต์ของผู้เขียนได้โดยตรง

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ไม่แนะนำให้คุณนำไปใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรคด้วยตนเอง ขอความกรุณารับคำปรึกษาได้โดยตรงจากบุคลากรสหวิชาชีพทางสาธารณสุข รวมทั้งเภสัชกรใจดี ที่พร้อมดูแลสุขภาพพ่อแม่พี่น้องนะครับ

รูปประกอบจากอินเตอร์เนท

Topical vitamin C protects porcine skin from ultraviolet radiation-induced damage
D. DARR, British Journal of Dermatology
Volume 127, Issue 3, pages 247–253, September 1992,http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/j.1365-2133.1992.tb00122.x/abstract

Alexander J. Michels, Ph.D., Vitamin C and Skin Health, September 2011,  by:
Linus Pauling Institute, Oregon State University, Reviewed in September 2011 by: Zoe Diana Draelos, M.D., Consulting Professor,Department of Dermatology,Duke University School of Medicine Durham, NC, Linus Pauling Institute,http://lpi.oregonstate.edu/infocenter/skin/vitaminC/index.html

Gary Goldfaden, MD, Revitalize Aging Skin with Topical Vitamin C,
http://www.lef.org/magazine/mag2009/may2009_Revitalizing-Aging-Skin-with-Topical-Vitamin-C_01.htm

Should I be using Vitamin C on my skin?, http://www.skinacea.com/faq/treatments/t01-vitamin-c.html

หมออรวิตามินซีแบบฉีด เอาไว้ทาหน้า ทาตัวได้ จริงหรือ