วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กราบขอบพระคุณยอดผู้อ่าน >1.5ล้าน viewers เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล



เขียน blog มาสี่ปี พอๆกับวันเปิดร้านยาสาขาแรกที่ศรีย่าน 
มาถึงวันนี้ ได้มียอดผู้อ่านแวะมาให้ความอุปการะติดตามบทความ ผู้อ่านได้ถึง 1.5 ล้านแล้ว

จึงมากราบขอบพระคุณทุกท่าน และจะมุ่งมั่นสรรค์สร้างงานดีมีคุณภาพต่อไปเพื่อพ่อแม่พี่น้องที่เคารพยิ่งต่อไป

เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ลูกน้อยเป็นไข้ไม่สบาย จะรู้ได้อย่างไร? โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล


เอ๊ะ...ลูกป่วยหรือเปล่านะ พอเอามืออังหัวลูกน้อยที่ร้อน ก็ทำเอาพ่อแม่หนักใจเลยว่าลูกรักตัวน้อยของเราจะเป็นไข้หรือไม่นะ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ปัญหาดังกล่าวเภสัชกรมักได้รับเป็นคำถามประจำ เรามีวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ไปสังเกตว่า ลูกตัวน้อยของคุณมีไข้จากอาการป่วยจริงๆหรือไม่?

ตัวร้อนอย่างไร? จึงเรียกว่าลูกรักเป็นไข้นะ
ก่อนอื่นเลย คุณแม่ทราบไหมครับว่า ร่างกายของเรามีระบบควบคุมอุณหภูมิร่างกายที่ทำงานได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ตัวอย่างเมื่อ น้องน้อยวิ่งเล่นออกกำลังกายสนุกสนาน ระบบที่ว่านี้ก้อจะทำงานระบายความร้อน ออกมาเป็นร่างกายที่ร้อนหรืออุ่นขึ้น พร้อมกับมีเหงื่อไหลซึมออกมาระเหยความร้อน เพื่อให้ร่างกายลูกรักลดอุณหภูมิลงจนเป็นปกติตามธรรมชาติ

แต่หลายครั้งที่คุณแม่พอเอามือไปอัง สัมผัสหน้าผากน้องเล็กของเรา แล้วเผินๆ มีอาการตัวร้อน แต่ความจริงแล้วอาจจะไม่มีไข้ก้อได้ ทำไมเหรอครับ อาจเนื่องเพราะ กลไกควบคุมอุณหภูมิในร่างกายของเด็กเล็กๆ ยังทำงานได้ไม่ดีนัก หลายครั้งที่เราจึงเป็นไปจับตัวลูกอาจจะรู้สึกว่าร้อน แต่จริงๆแล้วร่างกายเขาก้อไม่ได้ผิดปกติ อาจจะตัวร้อนมากขึ้น อันเกิดจากได้หลายสาเหตุที่ไม่ได้เป็นไข้แต่อย่างใด อาจจะเนื่องมาจากออกกำลังกายวิ่งเล่น ห้องนอนของลูกร้อนเกินไป ลูกน้อยใส่เสื้อผ้าเสียหลายชั้นไม่เหมาะสมกับสภาวะอากาศ หรือห่มผ้าหนาๆ ให้ลูกจนรู้สึกร้อน อึดอัด ไม่สบายตัวได้ 

ตัวร้อนอย่างไรจึงเรียกว่าลูกรักเป็นไข้นะ?
พ่อแม่หลายคนหากสำรวจดูปัจัยอื่นๆแล้วปกติ แต่ลูกยังตัวร้อนอยู่ แสดงว่าอาจเป็นไข้ก็ได้ พอซักทีเถิดครับการใช้มือหรือความรุ้สึกในการไปอังตัวน้องน้อย แล้วคาดเดาเอาว่าลูกน้อยเป็นไข้
ขอแนะนำให้ใช้ปรอทหรือเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ เพราะเป็นวิธีทดสอบที่ได้ผลว่าลูกเป็นไข้หรือไม่ ที่น่าเชื่อถือมากกว่าใช้มือสัมผัสมากที่สุด  ถ้าตัวเลขบนปรอทขึ้นไปถึง 39 องศาเซลเซียส แสดงว่าไข้ขึ้นสูง ควรเริ่มช่วยระบายความร้อนด้วยการถอดเสื้อผ้าของลูกออก และรีบใช้ผ้าหรือฟองน้ำชุบน้ำเช็ดตัวลดไข้ให้ลูก พร้อมให้ลูกดูดน้ำหรือนมเพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย ถ้าลูกอายุ 3 เดือนขึ้นไปแล้ว อาจจะป้อนยาพาราเซตตามอลสำหรับเด็กเพื่อลดไข้ต่อไป

สัญญานต่อไปนี้ ที่ลูกรักมีอาการบอกว่าลูกรักผิดปกติแล้วหล่ะ
นอกเหนือจากการสัมผัสดูแลลูกน้อยแล้ว นอกเหนือจากกการมีไข้แล้ว หากเราพบว่าลูกรักมีอาการดังนี้ ก้ออย่าได้วางใจ
·      ลูกน้อยเบื่อไม่ยอมกินนม หรือกินน้อยมากกว่าปกติ
หากเค้ามีอาการการเบื่อนม กินได้น้อย หรือแทบไม่กินเลย เป็นสัญญานอาการเริ่มต้นของการป่วยได้  หากถ้าลูกเราซึ่งเคยเจริญอาหาร กินเก่งมั่กๆ อยู่ๆ กลับไม่ยอมกินนม คงไม่ดีแน่ ควรพยายามป้อนนมหรือน้ำให้ลูกบ่อยๆ จะให้จิบจากช้อน หรือดูดจากขวดก็ได้ การให้นมกับน้ำบ่อยๆ จะช่วยให้ร่างกายของลูกไม่ขาดน้ำ จากนั้นควรจะปรึกษาคุณหมอเพื่อขอคำแนะนำต่อไปครับ
·      เสียงลมหายใจที่เปลี่ยนไป
หากรู้สึกว่าลูกหายได้ลำบาก มีเสียงดัง หรือหายใจถี่มาก แสดงว่าลูกอาจมี ปัญหาหายใจไม่สะดวก หรืออาจมีของติดหรือขวางทางเดินหายใจของลูก ให้รีบตรวจดูคอและจมูกของลูก ถ้าไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ แต่ลูกยังหายใจผิดปกติอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ด่วน
·      อาเจียน
บางครั้งลูกรักอาจมีอาการแหวะนมหลังดูดนมจนอิ่มได้บ้าง เป็นเรื่องปกติของเด็กเล็กๆ เพราะหูรูดกระเพาะอาหารในวัยนี้ยังไม่แข็งแรง เลยทำให้มีน้ำนมไหลล้นออกมาได้บ้าง แต่ถ้าลูกอาเจียนเอานมหรือน้ำที่ทานเข้าไปจนเกือบหมด อย่างนี้ไม่ได้การแล้ว
ควรรีบดูว่าลูกมีอาการทางกายอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่ เช่น ตัวร้อน ท้องร่วง ฯลฯ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณว่าเจ้าตัวน้อยของเราป่วยเสียแล้ว
·      มีอาการซึม ไม่สนใจสิ่งสิ่งเร้ารอบตัวเหมือนเคย
อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้หากลูกเหนื่อยหรือเบื่อ แต่ถ้าสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวเล็กดูอ่อนเพลีย แข้งขาไม่มีแรง นั่งซึม ก็ไม่ควรวางใจ นอกจากนั้นควรสังเกตดูด้วยว่าลูกหายใจเป็นปกติหรือไม่ ทานนมได้สะดวกมั้ย ลองคลำดูบริเวณท้อง ลำคอ และหน้าผากของลูกด้วยว่าร้อนหรือไม่ อาการดังกล่าวแสดงว่าลูกน้อยของคุณไม่สบายเสียแล้ว
·      ท้องเสีย
การที่เด็กอ่อนถ่ายวันละหลายๆ ครั้ง โดยมักถ่ายเป็นสีเหลืองหรือออกเขียว ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าลูกถ่ายเหลวมากหรือเป็นน้ำ อุจจาระมีกลิ่นและลักษณะไม่เหมือนปกติติดต่อกันหลายๆ ครั้ง ถึงแม้ว่าลูกจะยังดูปกติดีก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะการท้องร่วงทำให้ร่างกายได้สูญเสียน้ำได้อย่างรวดเร็ว อาจช็อกและเป็นอันตรายได้
·      ร้องไห้ งอแง โยเย
เสียงร้องไห้กับเด็กเป็นของคู่กัน อย่าได้รำคาญไปเลยนะครับ เพราะเสียงร้องเป็นเครื่องมืออย่างเดียวที่ลูกสามารถบอกคุณได้ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นหิว เหนอะหนะ รำคาญ เหงา เบื่อ เจ็บปวด ไม่สบาย สิ่งสำคัญก็คือ ถ้าลักษณะการร้องและเสียงร้องของลูกเปลี่ยนไป และเมื่อลองแก้ไขอย่างเคยแล้วก็ยังไม่หยุดร้อง อาจเป็นไปได้ว่าลูกป่วย หรือไม่สบายมาก
·      ปากและแก้มแดง
การที่ปากและแก้มน้อยๆ ของลูกแดงขึ้นนั้น นอกจากเป็นเพราะพิษไข้แล้ว การที่ปากของลูกแดงอาจมีการอักเสบในช่องปาก หรือแก้มอาจเกิดจากผิวอักเสบเนื่องจากผดผื่นได้
·          ผื่นขึ้น
ผิวของเด็กอ่อนบอบบางมาก จึงง่ายต่อการเกิดผดผื่น ข้อสำคัญก็คือ ถ้ามีผื่นขึ้นโดยไม่มีไข้หรือตัวร้อนอาจจะเป็นการแพ้ธรรมดา แต่ถ้ามีไข้ร่วมกับผื่นขึ้นด้วยแสดงว่าลูกไม่สบายแล้ว

แต่ถ้าหาก ถ้าเห็นลูกมีอาการต่อไปนี้ อย่ารอช้า รีบพาลูกไปโรงพยาบาลทันที
* ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว หมดสติ
* ชัก
* หายใจลำบาก กระสับกระส่าย เหงื่อออกมาก มือเท้าเย็น
* หอบกระวนกระวาย หน้า มือหรือเท้าเป็นสีคล้ำ
* อาเจียนหรือท้องเสียมาก จนปากแห้ง ขอบตาลึก หรือเห็นว่ากระหม่อมยุบลงไป
* ปัสสาวะน้อยผิดปกติ หรือไม่ถ่ายปัสสาวะเกิน 8 ชั่วโมง
* ถ่ายอุจจาระหรืออาเจียนเป็นเลือดหรือมีสีดำ

 ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นวิธีสังเกตุเบื้องต้นเมื่อลูกป่วย คุณพ่อคุณแม่แทนที่จะมัวแต่กังวลใจควรทบทวนและหมั่นสังเกตุ หากมีอาการผิดปกติอย่างไร อย่าวางใจ สดวกที่สุดก้อแวะไปร้านยาใกล้ๆบ้านก้อได้ครับ เภสัชกรใจดีเรายินดีให้คำปรึกษาเพื่อสุขภาพดีของทุกครอบครัวไทยครับ

แหล่งข้อมูล
•เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล สงวนลิขสิทธิ์ 19 ธค. 2555 
E-mail: utaisuk@gmail.com Facebook: “UTAI SUKVIWATSIRIKUL
ห้ามนำบทความ รูปภาพและเนื้อหาอื่นๆ โดยผู้เขียนไปเผยแพร่เชิงพาณิชย์ ให้นำไปเผยแพร่เป็นวิทยาทานหรือเพื่อการศึกษาเท่านั้น

ผู้ประกอบการเว็บไซต์ต้องยึดหลักความเคารพและคำนึงถึงลิขสิทธิ์ในการสร้างสรรค์งานเขียนและจริยธรรมทางธุรกิจ การนำเอาบทความ รูปภาพและเนื้อหาอื่นๆ ซึ่งผลิตขึ้นโดยผู้เขียนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตและผลิตซ้ำเพื่อเผยแพร่ กรุณาอ้างอิงแหล่งที่มาและ Copy url address ไปด้วยเพื่อให้ผู้อ่านสามารถลิ้งค์กลับมาอ่านบทความจากเว็บไซต์ ของผู้เขียนได้โดยตรง

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ไม่แนะนำให้คุณนำไปใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรคด้วยตนเอง ขอความกรุณารับคำปรึกษาได้โดยตรงจากเภสัชกรร้านยาใจดีที่พร้อมดูแลสุขภาพพ่อแม่พี่น้องนะครับ

รูปประกอบจาก

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhNrTnA3Kqowm6kFQ6j4aXGwgHTLtOs0PQBvTT_vJXsz2Zr9VzdojU9EprhobbqY6aU4ZcrlXrUyCdGEdg_0fRMpb524-_ZPvzdYIIE8mKlCQas1r7zIkI_dVMzy1CF1as92kk3hTX6hM2/s400/Image+%3D+Fever+2.jpg

Fever in Infants and Children, familydoctor.org , http://familydoctor.org/online/famdocen/home/tools/symptom/504.html

Fever in Children, eMedicineHealth , http://www.emedicinehealth.com/fever_in_children/article_em.htm

Flu (Influenza), medicinenet.com,
http://www.medicinenet.com/influenza/article.htm

Seasonal Flu Guidance , A federal government Website managed by the U.S. Department of Health & Human Services - 200 Independence Avenue, S.W. - Washington, D.C. 20201, http://www.flu.gov/professional/hospital/index.html
Influenza (Flu) Antiviral Drugs and Related Information, http://www.fda.gov/drugs/drugsafety/informationbydrugclass/ucm100228.htm
Information on availability of influenza vaccine: Food and Drug Administration, Center for Biologics Evaluation and Research, Office of Communication, Training & Manufacturers Assistance, 301-827-1800.  Fax: 301-827-3843
,octma@fda.hhs.gov

Information on drugs used to treat influenza:, Food and Drug Administration, Center for Drug Evaluation and Research, Drug Information Line, druginfo@fda.hhs.gov
Information on influenza prevention and control: Centers for Disease Control and Prevention, Public Inquiries Office, inquiry@cdc.gov, cdcinfo@cdc.gov

Questions & Answers: Antiviral Drugs, 2009-2010 Flu Season, Centers for Disease Control and Prevention   1600 Clifton Rd. Atlanta, GA 30333, USA, http://www.cdc.gov/h1n1flu/antiviral.htm

Flu, Centers for Disease Control and Prevention   1600 Clifton Rd. Atlanta, GA 30333, USA, http://www.cdc.gov/flu/

เมื่อลูกน้อยป่วย... การดูแลเบื้องต้น, http://www.chulakid.com/forum/index.php?topic=125.0

พญ. วรรณสิริ วรรณสถิตย์     "อาการป่วยที่พบบ่อยในเด็ก" http://kanchanapisek.or.th/kp4/book343/ill.htm

น.ท. นพ. จักรพงศ์ ไพบูลย์ อายุรแพทย์,หวัด โรคหน้าหนาว , http://www.thaiclinic.com/medbible/commoncold.html

ว พชร, ยาแก้โรคหวัด มีจริงหรือ, จันทร์ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552, http://herbnatureandliving.blogspot.com/2009/12/2.html

ภญ.มนทยา สุนันทิวัฒน์, ยาน้ำลดไข้สำหรับเด็ก, นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 291
เดือน/ปี: กรกฎาคม 2003,
http://www.doctor.or.th/article/detail/1671


ภก.พุทธิพันธ์ รอดสุวรรณ, ยาลดไข้ในเด็ก
, นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 295
เดือน/ปี: พฤศจิกายน 2004
,http://www.doctor.or.th/article/detail/2008


ภก.วิรัตน์ ทองรอด, ลูกน้อยไม่สบายเลือกใช้ยาอย่างไร, นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 343
เดือน/ปี: พฤศจิกายน 2007, http://www.doctor.or.th/article/detail/1117

ภก.พุทธิพันธ์ รอดสุวรรณ, ยาลดไข้ในเด็ก,
, นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 295
เดือน/ปี: พฤศจิกายน 2004,
http://www.doctor.or.th/article/detail/2008


ลลิตา อาชานานุภาพ
, การดูแลเด็กมีไข้, นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 1
เดือน/ปี: พฤษภาคม 1979
,http://www.doctor.or.th/article/detail/5074

ลูกรักเป็นไข้ ทำอย่างไรดี โดย เภสัชกรอุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล, http://utaisuk.blogspot.com/2011/09/blog-post_23.html

ไข้หวัด: จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกป่วย? โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล,
http://utaisuk.blogspot.com/2011/10/blog-post_2793.html

ไข้อีดำอีแดง รู้จักเพื่อป้องกันลูกรัก โดยเภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล,
http://www.oknation.net/blog/DIVING/2011/06/22/entry-1

ใช้ยาลดไข้ในเด็กอย่างปลอดภัย โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล,
http://www.oknation.net/blog/DIVING/2008/09/26/entry-1

รูปประกอบจาก http://www.babyexpert.com/baby/health/how-to-treat-febrile-seizures/359.html 

Oristat หรือ Xenical ลดความอ้วนได้ผลจริงไหม? โดย เภสัชกรอุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล

ท่านนายพลก้องโทรมาถามว่า เพิื่อนบอกว่ามียาลดความอ้วนเม็ดสีฟ้า ชื่อว่า Oristat หรือ Xenical มันได้ผลมั้ยหมออุทัย? จะไม่ตอบก้อกล้วว่าเภสัชกรไม่ให้ความร่วมมือกับทางกองทัพ  จึงนำเรื่องยาตัวนี้มาเล่าให้ฟัง ว่ามันลดความอ้วนได้ผลจริงไหม?

การใช้ยาลดน้ำหนักที่ถูกต้องอย่างได้ผลปลอดภัย
และไม่กลับมาอ้วนใหม่?
จุดเริ่มของการลดไขมันในรอบพุงอย่างได้ผลและแข็งแรงก็คือต้องจำกัดปริมาณอาหารที่กินเข้าไปพร้อมกับการออกกำลังกายร่วมด้วย แต่ต้องอาศัยกำลังใจของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างสูงสุด ดังนั้นคุณๆทั้งหลายจึงนิยมหันมาใช้ยาลดความอ้วนกันเป็นจำนวนมาก โดยนึกแต่เพียงผลของการลดไขมันเท่านั้นแต่บางท่านยังไม่ทราบถึงผลข้างเคียงต่างๆทั้งระยะสั้นและหากใช้ต่อเนื่องจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง โดยปกติเราจะสั่งจ่ายให้เฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนมาก่อนและได้ทดลองลดน้ำหนักโดยวิธีอื่นมาแล้ว แต่ได้ผลไม่ดีนัก

หลักของการใช้ยาอย่างถูกต้องและปลอดภัย
การใช้ยาอย่างปลอดภัย คุณจะได้รับยาปริมาณไม่มากนักและแนะนำให้ออกกำลังกายร่วมด้วย หากใช้ยาไปแล้วพบว่าน้ำหนักตัวไม่ ลดลงภายใน 4-6 สัปดาห์ควรหยุดยาทันที และไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน ๑๒ สัปดาห์ เนื่องจากอาจทำให้ติดยาและมีผลข้างเคียงอื่นๆ ตามมาได้ และที่ต้องตอกย้ำกันก็คือเมื่อใช้ยาลดน้ำหนักได้เป็นที่พอใจแล้ว ให้หยุดยาพร้อมๆไปกับการควบคุม น้ำหนักอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำหนักก็จะกลับมาอีก (YoYo Effect)

Oristat หรือ Xenical คืออะไร?
Oristat เป็นยาที่มีตัวยา Xenical   วางตลาดตั้งแต่ปี 1999  ยาตัวนี้  ออกฤทธิ์ไปยับยั้งการทำงานของไลเปส (pancreatic lipase inhibitor) ไม่ให้ทำงาน ดังนั้นไขมันจึงไม่สามารถดูดซึมในทางเดินอาหารครับ เอนไซม์ไลเปสจึงไม่สามารถ
ทำหน้าที่ในการย่อยไขมัน  ดังนั้นไขมันจะไม่ถูกย่อย  ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด  โดยทั่วไปแล้วปริมาณไขมันจะลดปริมาณการถูกดูดซึมลงไปราว 30%
Oristat หรือ Xenical ลดน้ำหนักได้มากเพียงใด ตามการวิจัยเฉลี่ยลดได้เฉลี่ยที่ประมาณ 10% ของน้ำหนักตัวครับ   ถ้าคุณต้องการลดมากกว่านั้นอย่างไรก็ต้องออกกำลังกายเพิ่มเติมด้วยครับ

ผลข้างเคียงของ Orlistat มีอะไรบ้างหล่ะ?
ผลข้างเคียงนั้นเกิดขึ้นเนื่องมาจากกลไกการทำงานของตัวมันเองครับ    เมื่อไขมันไม่ถูกย่อย  และไม่ถูกดูดซึม  ก็จะออกมาพร้อมกับอุจจาระ  ทำให้อุจจาระนั้นมีไขมันปนออกมา    อาจจะมีอุจจาระออกมากและควบคุมปริมาณการขับถ่ายได้ลำบาก  รู้สึกไม่สบายท้อง ท้องอืด อุจจาระนิ่มหรือเหลวมีน้ำมันหรือไขมันปน มีของเหลวคล้ายน้ำมันหรือไขมันไหลออกทางทวารหนัก อุจจาระบ่อยขึ้น รู้สึกปวดบริเวณทวารหนัก อยากถ่าย ปวดท้อง ลมในท้องและในลำไส้ ท้องอืด กลั้นอุจจาระไม่อยู่ เป็นต้น ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้สามารถลดหรือควบคุมได้ โดยการเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม อย่าให้มีปริมาณไขมันมากเกินไป

โดยทั่วไปแล้ว Orlistat เป็นยาลดน้ำหนักที่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับยา แต่ยาทุกชนิดไม่มั่นใจ อย่าได้เก็บกังวลจนอ้วนเอ้า อ้วนเอา ไปขอคำปรึกษาจากเภสัชกรใจดีได้จากร้านยาได้เลยนะครับ

 แหล่งข้อมูล

•เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล สงวนลิขสิทธิ์ 27 ธค. 2555 

E-mail: utaisuk@gmail.com Facebook: “UTAI SUKVIWATSIRIKUL

ห้ามนำบทความ รูปภาพและเนื้อหาอื่นๆ โดยผู้เขียนไปเผยแพร่เชิงพาณิชย์ ให้นำไปเผยแพร่เป็นวิทยาทานหรือเพื่อการศึกษาเท่านั้นผู้ประกอบการเว็บไซต์ต้องยึดหลักความเคารพและคำนึงถึงลิขสิทธิ์ในการสร้างสรรค์งานเขียนและจริยธรรมทางธุรกิจ

การนำเอาบทความ รูปภาพและเนื้อหาอื่นๆ ซึ่งผลิตขึ้นโดยผู้เขียนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตและผลิตซ้ำเพื่อเผยแพร่ กรุณาอ้างอิงแหล่งที่มาและ Copy url address ไปด้วยเพื่อให้ผู้อ่านสามารถลิ้งค์กลับมาอ่านบทความจากเว็บไซต์ ของผู้เขียนได้โดยตรง

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ไม่แนะนำให้คุณนำไปใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรคด้วยตนเอง ขอความกรุณารับคำปรึกษาได้โดยตรงจากเภสัชกรร้านยาใจดีที่พร้อมดูแลสุขภาพพ่อแม่พี่น้องนะครับ

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ใช้ยารักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศอย่างไร ให้ปลอดภัย

ภาวะบกพร่องของการแข็งตัวขององคชาต หรืออาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศนั้น มีการรักษาได้หลากหลายวิธี แต่วิธีที่ได้รับความนิยมคือ การรักษาโดยการใช้ยาขยายหลอดเลือดขององคชาต ยิ่งในปัจจุบันราคายาต่อเม็ดมีราคาที่ถูกลง ทำให้มีการใช้ยาอย่างแพร่หลายมากขึ้น 

แต่ผู้ที่มีอาการหลาย ๆ คนก็ยังมีความรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ ในการใช้ยาว่าจะมีความปลอดภัยหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนไข้ที่มีโรคประจำตัวมาก ๆ ก็ยิ่งอาจทำให้มีความกังวลถึงความปลอดภัยในการใช้ยากลุ่มนี้ มาฟังคำแนะนำจาก อาจารย์นพ.เปรมสันติ์ สังฆ์คุ้ม จากคลินิกสุขภาพเพศชาย
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อการรักษาที่ได้ผลและปลอดภัย

   
สาเหตุของอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ 

หรือการที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวในชายสูงวัยนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมของหลอดเลือดและเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงบริเวณอวัยวะเพศ ทำให้เส้นเลือดไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่และนานพอเมื่อมีความต้องการทางเพศ ผลที่ตามมาคือ อวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือแข็งตัวได้ไม่เต็มที่ หรือแข็งตัวได้ไม่นานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จ 

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อีก เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า เป็นต้น ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลกระทบถึงการทำงานของระบบประสาทและหลอดเลือด ทำให้อาการเป็นมากขึ้น รุนแรงขึ้น และส่งผลให้การรักษายากขึ้น ดังนั้นในคนที่อายุน้อยและยังไม่มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศสามารถป้องกันตนเองได้โดยการหมั่นดูแลสุขภาพ ทานอาหารและออกกำลังกายให้เหมาะสม งดการสูบบุหรี่ และการดื่มเหล้า หรือในคนที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูงแล้ว ก็ต้องพยายามควบคุมความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด หรือระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเพื่อชะลอการเกิดความบกพร่องของการแข็งตัวขององคชาตในอนาคต
  

ยารักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
สำหรับการรักษาโดยการใช้ยาขยายหลอดเลือดขององคชาตเป็นการรักษาที่แพร่หลาย เพราะสะดวก รับประทานง่าย ยาออกฤทธิ์ค่อนข้างเร็ว และได้ผลค่อนข้างดีในคนไข้ส่วนใหญ่ 


ยากลุ่มนี้ปัจจุบันมีหลายชนิด แต่คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักในชื่อ ไวอากร้า(Viagra) เพราะเป็นยาตัวแรกสุดในกลุ่มนี้ ชื่อสามัญทางยาคือ ซิลเดนาฟิล (Sildenafil) ยาตัวอื่น ๆ ในกลุ่มนี้คือ วาเดนาฟิล (Vardenafil, Levitra) และทาดาลาฟิล (Tadalafil, Cialis) ปัจจุบันในประเทศไทยสามารถผลิตยา ซิลเดนาฟิล (Sildenafil) ได้เอง ทำให้ราคายาถูกลงค่อนข้างมาก ชื่อทางการค้าคือซิเดกร้า (Sidegra) ขนาดยาเริ่มต้นที่แนะนำให้ทานสำหรับยาซิลเดนาฟิลคือ 50 มิลลิกรัม หลังจากรับประทานยา ยาจะไปออกฤทธิ์ช่วยให้หลอดเลือดบริเวณองคชาตขยายตัวได้ดีขึ้น เลือดแดงไปเลี้ยงองคชาตได้มากขึ้น เกิดการคั่งของเลือดแดงในองคชาตมากขึ้น ทำให้การแข็งตัวดีขึ้น ดังนั้นด้วยกลไกการออกฤทธิ์ของยา ยากลุ่มนี้จึงไม่ใช่ยากระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน แต่ยาจะช่วยให้การแข็งตัวขององคชาตดีขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ใช้ยากลุ่มนี้แล้วได้ผลเป็นที่น่าพอใจ การใช้ยาให้ได้ผลดีต้องมีการรับประทานยาให้ถูกวิธี กล่าวคือ ควรรับประทานยาก่อนมีเพศสัมพันธ์ประมาณครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ควรรับประทานยาช่วงท้องว่างเพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมของยา ไม่ควรทานยาพร้อมเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์


ใช้ยาแล้วจะมีความปลอดภัยหรือไม่?
สำหรับความวิตกกังวลว่าใช้ยาแล้วจะมีความปลอดภัยหรือไม่ ใช้ยาแล้วจะเป็นอันตรายต่อโรคหัวใจ หรือทำให้หัวใจวายหรือไม่นั้น 


จากการศึกษาพบว่า ยากลุ่มนี้ไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยที่ใช้ยาเป็นโรคหัวใจเพิ่มมากขึ้น แต่เนื่องจากกลไกการออกฤทธิ์ของยาที่มีผลต่อการขยายหลอดเลือดบริเวณองคชาตอาจมีผลทำให้หลอดเลือดบริเวณอื่นในร่างกายมีการขยายตัวได้บ้าง จึงเป็นข้อห้ามในการใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ป่วยโรคหัวใจที่ทานยาขยายหลอดเลือดหัวใจกลุ่มไนเตรท (Nitrate) ทุกตัว เพราะยาสองกลุ่มนี้จะเสริมฤทธิ์กัน ทำให้หลอดเลือดมีการขยายขนาดมากกว่าปกติ เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำเข้าสู่ภาวะช็อกและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นผู้ป่วยรายใดที่รับประทานยาขยายหลอดเลือดหัวใจกลุ่มไนเตรทอยู่ห้ามทานยาขยายหลอดเลือดองคชาตครับ แต่ถ้ารักษาโรคหัวใจจนมีอาการดีขึ้นจนสามารถหยุดยากลุ่มไนเตรทได้แล้ว ควรหยุดยาเป็นเวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์ขึ้นไป ถึงจะเริ่มรับประทานยาขยายหลอดเลือดขององคชาตได้ ในกรณีที่ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกหลังจากรับประทานยาขยายหลอดเลือดองคชาต ให้รีบหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ ถ้าอาการเจ็บหน้าอกไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์ทันที และแจ้งแพทย์ที่ให้การรักษาทราบด้วยว่ารับประทานยาขยายหลอดเลือดขององคชาตเพื่อหลีกเลี่ยงการให้ยาในกลุ่มขยายหลอดเลือดหัวใจเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วยเอง
   

สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ไม่ได้ทานยาขยายหลอดเลือดหัวใจ แต่ยังมีอาการของโรคหัวใจที่ไม่คงที่ เช่น เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่ยังมีอาการเจ็บหน้าอกอยู่เป็นระยะ ๆ ความดันโลหิตสูงที่ยังควบคุมไม่ได้ หรือเพิ่งเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาไม่ถึงสองสัปดาห์ เป็นต้น ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่อาการยังไม่คงที่ก็ยังไม่ควรใช้ยาขยายหลอดเลือดองคชาต ควรรักษาโรคหัวใจให้อาการดีขึ้นและคงที่ก่อนค่อยเริ่มใช้ยา สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ไม่แน่ใจว่าโรคหัวใจที่ตนเองเป็นอยู่หรือยาโรคหัวใจที่ตนเองรับประทานอยู่เป็นประจำนั้น มีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนและควรนำประวัติการรักษา รวมถึงยาที่รับประทานอยู่ทั้งหมดไปด้วย เพื่อที่แพทย์จะได้ประเมินความปลอดภัยในการใช้ยา รวมถึงให้การรักษาโรคประจำตัวอื่น ๆ ของผู้ป่วยควบคู่กันไป ซึ่งจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้ป่วยโดยรวมด้วย.
                            

แหล่งข้อมูล

นพ.เปรมสันติ์ สังฆ์คุ้ม
คลินิกสุขภาพเพศชาย หน่วยศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล 

http://www.dailynews.co.th/article/1490/173693

ภาพประกอบจาก
http://www.design.bz/img/excelent-ad-design-21.jpg

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เพิ่มปริมาณน้ำนมอย่างไร? โดยไม่ใช้ยา


คุณพ่อป๊อบคุณพ่อมือใหม่ อยากทราบวิธีเพิ่มน้ำนมตามธรรมชาติ ว่าทำอย่างไรดี? เรามีวิถีที่ไม่ต้องพึ่งยา แต่หากนำมาปฎิบัติแล้ว จะช่วยเพิ่มน้ำนมให้ลูกแม่เต็มอิ่ม และคุณแม่คุณพ่อสบายใจดังนี้ครับ 

“ยิ่งดูด…ยิ่งปั๊ม… ยิ่งสร้างนม”
ก่อนอื่นขอเล่าความจริงบางอย่างเกี่ยวกับการสร้างและ การดูดน้ำนมแม่ ให้คุณได้รู้ความจริงเสียก่อนว่า

“ร่างกายของแม่จะสร้างน้ำนมขึ้นทันที เมื่อมีการดูดออกไป” 
หรืออาจกล่าวได้ว่า “ยิ่งดูด…ยิ่งสร้าง..” 

หมายความว่า ถ้ามี การดูดน้ำนมโดยลูกน้อยออกไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะเร่งสร้างขึ้นมาทดแทนในปริมาณมากเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น จะด้วยวิธีใดก็ตามที่มีการขับน้ำนมออกมาจากเต้านม เช่น ด้วยการดูดของลูกน้อย หรือการปั๊มนม เมื่อน้ำนมลดลง ร่างกายจะสร้างน้ำนมขึ้นมาทดแทนให้เต็มเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อยในมื้อต่อไปทันที 

การนวดประคบเต้านม
นอกจากนี้ การนวดประคบเต้านม ด้วยผ้าอุ่นๆ 3-5 นาทีก่อนการให้นม กระตุ้นหัวนมและลานเต้านมเบาๆ นวดเต้านมก่อนและระหว่างการให้นม พร้อมทั้งจัดท่าทางในการให้นมอย่างถูกวิธี โดยให้ลูกดูดอมหัวนม ให้ลึกถึงลานนมของแม่

ดังนั้น ขั้นตอนง่ายๆ ของ การเพิ่มน้ำนม ด้วยตนเอง ก็เริ่มด้วยตัวคุณแม่ที่ต้องตั้งใจมุ่งมั่นในการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมตนเอง ซึ่งถือเสมือนเป็นอาหารที่วิเศษที่สุดของลูกน้อย และเชื่อมต่อสายใยด้วยความรัก ความผูกพัน และความอบอุ่นของแม่ที่มีต่อลูก
เมื่อคุณแม่เตรียมพร้อมด้วยความมุ่งมั่นแล้ว ก็ต่อ ด้วยการดูแลลูกน้อยให้เรียนรู้และคุ้นเคยกับการดูดนมจากเต้านมแม่ให้บ่อยขึ้นและนานขึ้น อย่างน้อยให้ได้ 8 ครั้งต่อวัน ในกรณีที่ต้องทำงานและห่างลูกจนลูกดูดนมไม่ได้ ก็อาจใช้วิธีการปั๊มน้ำนมช่วย (“ยิ่งดูด…ยิ่ง ปั๊ม…ยิ่งสร้าง”) เพื่อเพิ่มจำนวนน้ำนมที่ถูกดูดหรือไหลออก และเพิ่มความถี่ของการขับน้ำนมออก ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้สร้างน้ำนมอย่างอัตโนมัติทันที่ที่มีการขับน้ำนมออก

  • ควรหลีกเลี่ยง การให้น้ำนมผสม หรืออาหารเสริมอื่นๆ กับลูกน้อยในช่วง 6 เดือนแรก เพราะจะทำให้ลูกน้อยอิ่ม และกินนมแม่ได้น้อยลง


ส่วนของตัวแม่เองก็ควรได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนทั้งปริมาณและชนิดของอาหาร พักผ่อนให้เต็มที่ ดื่มน้ำมาก ทำจิตใจให้สบาย ด้วยการฟังเพลง นึกถึงแต่สิ่งที่ดีๆ
กรณีที่น้ำนมน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูก จำเป็นต้องให้น้ำนมผสมเสริม ห้ามให้ด้วยการดูดจากขวดนม อาจใช้วิธีการหยอดน้ำนมลงข้างๆ เต้านมให้ลูกดูด หยอดครั้งละน้อยๆ เมื่อน้ำนมสร้างได้มากขึ้น ก็ค่อยๆ ลดปริมาณนมผสมลงได้

การเพิ่มปริมาณน้ำนมด้วยอาหารและสมุนไพร
ถ้าในกรณีที่ต้องการตัวช่วยใน การเพิ่มน้ำนมแม่ ก็อาจจัดหาอาหารที่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม เช่น หัวปลี ดอกแค ฟักทอง กะเพรา ขิง ขมิ้นชัน กุยช่าย มะละกอ พริกไทย เป็นต้น ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีนำมาปรุงอาหาร เช่น แกงเลียงหัวปลีฟักทอง แกงส้มดอกแค ผัดใบกะเพราหมู น้ำขิง ขิงผัดไก่ เป็นต้น บวกกับกินน้ำบ่อยๆ และร่วมกับการปฏิบัติตนเองในการเพิ่มน้ำนมก็จะช่วยให้เพิ่มน้ำนมได้ตามต้องการ มีประสิทธิภาพ ประหยัด และปลอดภัย
นอกจากนี้ ยังมียาแผนโบราณชื่อ ยาประสระน้ำนม ซึ่งมีจำหน่ายในรูปของซอง แม่หลายคนใช้แล้วได้ผลดี
ปัจจุบันยาประสระน้ำนมที่แพร่หลายและหาซื้อได้ง่าย คือยาประสระน้ำนม ตราพารา-แม่เลื่อน ซึ่งเป็นสูตรเก่าแก่มีการใช้กันมานมนานแล้ว ซองละประมาณ 12 บาท ให้ใช้ครั้งละ 5 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น โดยมีข้อแม้ว่า ไม่ควรดื่มน้ำเย็น (คงพอปฏิบัติตามได้นะครับ…เพื่อลูกน้อย) หลังใช้ยาแล้วประมาณ 2-3 วัน ก็จะเริ่มมีน้ำนมมากขึ้น

แหล่งข้อมูล :นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม :355

www.breastfeeding-problems.com